วันพฤหัสบดี, กันยายน 17, 2552

มะเร็งเต้านม


มะเร็งเต้านม พบบ่อยในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจาก มะเร็งปากมดลูก มักพบในหญิงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย และผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนหญิงที่อายุน้อยหรือ ผู้ชายก็อาจเป็นมะเร็งเต้านมได้แต่พบน้อย
สาเหตุ
สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่นอน แต่อาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีส่วนส่งเสริมให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ เช่น เพศ อายุ กรรมพันธุ์ อาหารที่มีไขมันสูง ระบบ ภูมิคุ้มกันในร่างกายฮอร์โมน เชื้อไวรัส และสารเคมีต่าง ๆ เป็นต้น
อาการของโรค
มะเร็งเต้านมมักเป็นที่ส่วนบนต้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่นโดยเริ่มด้วยการมีก้อนเล็ก ๆ เกิดขึ้นส่วนมากไม่มีอาการเจ็บปวด ก้อนจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เต้านมใหญ่ขึ้น บางชนิดทำให้เต้านมแข็งขึ้น หรือแบนเล็กลงได้
ก้อนมะเร็งอาจดึงรั่งให้หัวนมบุ๋มเข้าไปจากระดับเดิ่ หรือทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านมหญาบ ขรุขระ เหมือน ผิวส้ม บางราย ถ้ากด บริเวณหัวนม จะมีน้ำเหลือง หรือน้ำเลือด ไหลซึม ออกมา
มะเร็งจะลุกลาม แพร่กระจายจากตำแหน่งที่เกิดไปอย่างรวดเร็ว ตามหลอดน้ำเหลือง เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณ รักแร้ หรือ ลุกลามเข้าหลอดเลือดสู่อวัยวะ อื่น ๆ
ในระยะหลัง เนื้อมะเร็งบางส่วนจะเน่าตาย ทำให้เกิดเป็นแผลขยายกว้าง มีกลิ่นเหม็นจัด มีหนอง หรือเลือดไหลออกมาจากแผล
การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง
การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ควรตรวจภายใน 7-10 วัน ของรอบเดือน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือน หรือ ทุกเดือนหลังจากหมดประจำ เดือนแล้ว การตรวจเต้านมอย่างถูกวิธี จะช่วยให้พบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มแรกได้ โดยมี้นตอนการตรวจ ดังนี้
ขั้นที่ 1
การตรวจในขณะอาบน้ำ ขนะอาบน้ำผิวหนังจะเปียกและลื่น ช่วยให้ตรวจได้ง่ายขึ้นโดยใช้ฝ่ามือนิวมือคลำ และเคลื่อนในลักษณะคลึงเบา ๆ ให้ทั่ว ทุกส่วนของเต้านม เพื่อค้นหา ก้อนหรือเนื้อที่แข็งเป็นไต หลังอาบน้ำเสร็จแล้วจึงทำการตรวจขึ้นต่อไป
ขั้นที่ 2
การตรวจหน้ากระจก ก. ยืนตรงมือแนบลำตัวให้สังเกตุเต้านมทั้งสองข้างต่อไปยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะเต้านมว่ามีการดึงรั้งของผิวหนังบริเวณเต้านมส่วนใด หรือระดับเต้านมเท่ากันหรือไม่ ข. ยกมือเท้าสะเอว เอามือกดสะโพกแรง ๆ เพื่อให้เกิดการเกร็ง และหดตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตุว่ามีรอยนูนหรือบุ๋มที่ผิวหนังของเต้านมหรือไม่
ขั้นที่ 3
การตรวจในท่านอน นอน หงายใช้หมอนใบเล็ก ๆ หนุนใต้สะบักข้างที่จะตรวจให้อกเด่นขึ้น และยกมือไว้ไต้ศีรษะ แล้วใช้ฝ่านิ้วมืออีกข้างหนึ่ง คลำให้ทั่ว ๆ ทุกส่วน ของเต้านมใช้มือซ้ายตรวจเต้านมด้านขวาใช้มือขวาตรวจเต้านมด้านซ้ายในลักษณะ เดียวกัน
การ ตรวจเต้านมแต่ละข้าง ให้เริ่มต้นที่บริเวณเต้านมด้านรักแร้ (จุด x ในภาพ) เวียนไปโดยรอบเต้านมแล้วเคลื่อนมือขยับมาเป็นวงแคบ จนถึง บริเวณหัวนม พยายามคลำให้ทั่วทุกส่วนของเต้านม ตอนสุดท้ายให้กดรอบ ๆ หัวนม หรือบีบ หัวนมเบา ๆ ทั้งสองข้าง เพื่อสังเกตุดูว่ามีน้ำเลือด น้ำหนอง หรือน้ำใส ๆ ออกจากหัวนมหรือไม่

วันเสาร์, กันยายน 12, 2552

พระราชอารมณ์ขัน



ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ "ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.. "ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า ”วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า ”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.." มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง” ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า "ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?" ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"

เรื่องที่ 2. พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา " ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน" แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ " ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า " แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว" ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล

พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรดมีความเค็ม พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้าน ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า "ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม " ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า " ไม่เคยชิมซักที " ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ตามเสด็จว่า "ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ "

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้ X วชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้ X วชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า - เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ- เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป

มีเรื่องอีกเรื่อง เกิดขึ้นที่ อ.พร้าว พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรเผ่าลีซอ พอจะเสด็จกลับ ผู้เฒ่าคนหนึ่งยื่นถุงห่อข้าวให้ท่าน เกรงว่าท่านจะหิวขณะเดินทาง เป็นน้ำพริกตาแดง กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ พร้อมกับบอกในหลวงว่า "หมู่บ้านเฮามันไกล กว่าเฮาจะเดินเข้าเมืองได้ใช้เวลาหลายวัน กลัวว่าท่านจะหิวกลางทาง" ปลื้มไหมคะ

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ ชื่อ.... เค้ารับไปแล้ว และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

ทรงพระเจริญ

วันจันทร์, กันยายน 07, 2552

สมุนไพรรักษาโรค



สวัสดีเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพทุกท่านเลยนะคะ สำหรับฉบับเราหยิบยกเรื่อง สมุนไพรรักษาโรค มาบอกเล่าให้เพื่อนได้ทราบกันว่า มันมีอะไรบ้าง และมากมายขนาดไหน
จริงๆ แล้วสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้นสามารถที่จะนำมาทำเป็นยารักษาโรคได้ อย่างของใกล้ตัวที่อยู่ครัวบ้านของเรา เช่น กระเทียม ก็สามารถช่วยลดไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด สาเหตุของโรคความดัน และโรคหัวใจ และยังมีอีกมากมายที่เราจะหยิบมาเฝ้าเพื่อนๆ ถ้าพร้อมแล้วเราไปรู้จัก สมุนไพรรักษาโรค ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเรากันเลยค่ะ


กระเทียม (GARLIC)
พบได้ทั่วโลก ใช้รักษาอาการ



- ลดไขมันในเลือด



- ลดการแข็งตัวของเลือด



- ลดน้ำตาลในเลือด



- ลดความดันโลหิต



- ต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส






กล้วยน้ำว้า
พบได้ และสามารถหาได้ทั่วไปในประเทศโซนเอเซีย ใช้รักษาอาการ



- โรคกระเพาะ



- ป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรค



- รักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้



- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย



- บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย



นหางจระเข้
พบได้ทั่วไป สามารถหาได้ทั่วไปในประเทศโซนเอเซีย และพบมากในประเทศไทย ใช้รักษาอาการ
- โรคนอนไม่หลับ



- ปวดหัว



- ผมร่วง



- โรคเหงือกและฟัน



- โรคไต



- โรคเรื้อนกวาง



- โรคกระเพาะ



- ท้องผูก ริดสีดวงทวาร



- คันที่ผิวหนัง ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว และโรคผิวหนังต่างๆ



วันเสาร์, กันยายน 05, 2552

10 ข้อนี้ ใครมีลูกสาวควรอ่าน!



โบราณว่ากันว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” หรือบางคนอาจเปรยขึ้นมาดีหน่อยคือจาก “ส้วม” เปลี่ยนเป็น “ดอกไม้” แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร ความหมายก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปตามคำนามนั้นๆ ซึ่งหมายความว่า หากพ่อแม่ดูแลลูกสาวไม่ดี ชื่อเสียงก็จะเสียหายไปตามๆกัน ความไม่ดีตรงนั้น ในสมัยก่อนอาจหมายถึงการท้องไม่มีพ่อ หรือท้องก่อนแต่ง ซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ผิดกับสมัยนี้ที่ไม่ค่อยถือสากันแล้ว อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้แม้เรื่องท้องก่อนแต่ง หรือท้องไม่มีพ่อ อาจดูเบาบางกว่าในอดีต แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงอยู่ดี ซึ่งนอกจากเรื่องท้องโดยไม่ได้ตั้งใจของเด็กสาวแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องร้ายๆ ที่พ่อแม่ รวมไปถึงทุกคนในครอบครัวควรเป็นหูเป็นตา ให้ความรักความอบอุ่น และสอนให้ลูกสาวรู้จักรักตัวเองให้มากขึ้น อย่าไปตามกระแสสังคมของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่แคร์ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและไม่เคารพตัวเอง ทั้งนี้ เรื่องร้ายๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ นับเป็น 10 ข้อสำคัญที่เกิดจากการชิงสุกก่อนห่าม ที่นับวันอายุเฉลี่ยของเด็กสาวก็เริ่มมีอายุที่ตัวเลขน้อยลงเรื่อยๆ โดยทั้ง 10 ข้อมีดังนี้

1. ท้อง-แท้ง

ยิ่งในวัยเรียนการได้รับปริญญาใจก่อนกำหนด 4 ปีการศึกษานั้น มันทำลายชีวิตมาหลายต่อหลายคนแล้ว เพราะจะมีสักกี่คนที่จะทนอุ้มท้องไปนั่งร่วมชั้นเรียนกับเพื่อน และเชื่อเลยว่าคงไม่มีสถานศึกษาใดสนับสนุนด้วย เมื่อชีวิตของการเป็นแม่เริ่มต้นขึ้น ความพร้อมสำหรับทารกน้อยๆ ย่อมปัญหาปากท้องและสังคมก็จะตามมาทีหลัง ส่วนใครที่ไม่เกรงต่อบาปยืนยันว่าฉันจะทำแท้งนั่นก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองไปเสียแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่า “ไม่ท้องแน่นอนเพราะป้องกันดี” จากการวิจัยก็ยังระบุว่า แม่จะใช้ถุงยางอนามัย แต่ยังมีโอกาสพลาดได้สูงถึง 21% เนื่องจากคุณภาพของถุงยางเสื่อมหรือใช้ไม่ถูกต้องและการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็มีโอกาสพลาดได้สูงถึง 5%

2. ซึมเศร้า

วัยรุ่นยังไม่ใช่วัยที่จะตั้งหลักปักฐานกับใครผู้ใด ยังเป็นวัยแห่งการแสวง เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนคู่นอนจึงเกิดเสมอๆ การซึมเศร้าที่เกิดจากภาวะความล้มเหลวเรื่องความรัก ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวัยที่จะคิดเรื่องรักสักเท่าไหร่

3. ติดโรค

ข้อนี้นับเป็นผลมาจากข้อ 2 ที่ว่าวัยรุ่นเป็นเพียงวัยแสวงหา น้อยคนนักที่จะพบรักแท้ยืนยาวเหมือนชีวิตคู่ผู้ใหญ่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ย่อมเกิดโรคตามมาแม้จะป้องกันก็ตาม หากพ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ก็อาจทำให้เด็กตกอยุ่ในความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม

4. เรียนถอยหลัง

หากมัวแต่หมกมุ่นเรื่องรัก คิดหนักแต่เรื่องผู้ชาย ร้องไห้ไม่ยอมเรียน เจ้าตัวเตรียมเรียนซ้ำชั้นอีกรอบได้เลย หรือไม่พ่อแม่ก็ต้องหาที่เรียนใหม่ให้เพราะมุ่งมั่นทำแต่คะแนนรักไม่สนใจการเรียน

5. ติฉินนินทา

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า หากการมีลูกสาวยังคงเเหมือนการมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ท่อแตกวันไหน จะกลิ่นที่เหม็นอยู่แล้ว อาจกลายเป็นกลิ่นส้วมแต่กเลยก็ว่าได้ หากลูกสาวเกิดไปทำเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นมา กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกขี้อิจฉา โดนนินทาว่าเสียตัวแล้วบ้าง เปลี่ยนแฟนอีกแล้ว โดนแฟนทิ้งอีกแล้วบ้าง ซึ่งสำหรับผู้ชายก็อาจจะเป็นที่รังเกียจของสาวดีๆ โดยข้อหานักล่าผู้หญิง หรือนักล่าพรหมจรรย์ พ่อแม่เองก็จะพลอยโดนผลกระทบไปด้วย

6. ไร้ค่า

อาจเกิดการหมิ่นเกียรติกันและกันระหว่างชายหญิง ต่างฝ่ายมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวสนองความใคร่ ไม่มีรักแท้จีรัง ก่อนที่จะรู้จักกันอย่างแน่นแฟ้นเราอาจจะมองเขาในแง่อื่นไปเสียแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายที่หลังจากได้เสียกับผู้หญิงแล้ว หากคนไหนใจง่าย ไม่รักตัวเอง ก็จะไร้ค่าทันทีเมื่อตกเป็นของเขา และในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องเป็นผู้ให้อภัยและให้โอกาสลูกสาว…อีกครั้งหนึ่ง

7. ถูกหลอกซ้ำซาก

เหตุนี้เป็นเพราะเคยปล่อยตัวและใจให้คนก่อนและความต้องการรักแท้ เพราะฉะนั้น คำว่ารักก็อาจจะกลายเป็นแค่ตะขอเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเท่านั้น

8. ใคร่มากกว่ารัก

วัยรุ่นอาจจะต้องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่ารัก และเข้าใจคำว่ารักผิดไป สุดท้ายส่งผลให้ไม่เข้าใจกันในที่สุด จึงมีที่มาให้ครอบครัวเปิดโอกาสพูดคุยกับลูกมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษาที่นับวันเด็กที่พ้น ป.6 มาไม่กี่วันอาจจะอยากรู้ อยากลองแล้วก็ได้ เพราะจากข่าวสารที่ผ่านๆ มาก็พบว่า เด็กที่ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อยที่สุดอยู่ในระหว่าง 11-12 ปีเท่านั้น

9. ผิดหวังในรัก

เมื่อคนดีที่เหมาะกับเราเข้ามาในชีวิต เมื่อเขารู้เรื่องราวในอดีตก็อาจจะหลีกหายไปได้ หรือเราเองอาจจะรู้สึกผิดกับอดีตไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือเธอคนนั้น จนกลายเป็นคำว่า เธอดีเกินไป หรือเธอไม่คู่ควรกับฉัน เพราะเธอมันช่ำชอง ไม่น่าไว้วางใจ ฯลฯ

10. สร้างความร้าวฉานในชีวิตคู่

เรื่องราวในอดีตไม่สามารถลบมันได้ แม้เราจะพยายามลืมไปเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อคู่ชีวิตล่วงรู้อดีตกาลของเราย่อมเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ชีวิตคู่จะมีความสุขได้อย่างไร แก้วเริ่มร้าวไม่นานก็แตก และไม่อาจประกอบได้ดั่งเดิม


ท้ายนี้ เด็กๆผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ก็ลองกลับมาทบทวนกันใหม่นะคะ เพราะเชื่อว่าบางคนเห็นร่างกายและอวัยวะของตัวเองเป็นเพียงสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องสงวนไว้อย่างที่ผู้ใหญ่มักจะพูดกันอยู่เสมอ ซึ่งจริงๆแล้ว การที่ผู้ใหญ่คอยเตือน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือครูเองคอยสอนนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ทุกคนต้องการให้เด็กผู้หญิงเคารพและรักตนเอง ขณะที่พ่อแม่เองก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย อย่าให้ลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ขณะเดียวกันก็ควรเปิดโอกาสและให้เวลาพูดคุยกับลูกบ้าง อีกทั้งควรให้เขาได้ใกล้ชิดศาสนาเป็นระยะ เพราะหลักการสอนของแต่ละศาสนาต่างมุ่งเน้นให้ทุกคนทำดี คิดดี และมีจิตที่บริสุทธิ์ หากลูกรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ และเวรกรรม ในสิ่งที่ทำ แน่นอนว่า 10 สิ่งร้ายๆ ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน และลูกสาวก็จะไม่ถูกเปรียบเปรยให้เป็นส้วมอีกต่อไป