วันเสาร์, ธันวาคม 25, 2553

ประวัติ ซานตาคลอส


ซานตาคลอส หรือ นักบุญนิโคลัส (ภาษาอังกฤษ: Santa Claus หรือ Saint Nicholas) แห่งเมืองไมรา

นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก ซานตาคลอส เป็นบุคคลที่สร้างขึ้นมาจากจินตนาการของชาว
คริสต์ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากเซนต์นิโคลัส
เพราะวันหนึ่งท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่งแล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

นักบุญนิโคลาส เป็นนักบุญ ที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะ มาเยี่ยม เด็กๆ และเอาของขวัญมาให้

เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ก็อยากมีส่วนร่วมในประเพณีแบบนี้บ้างเพื่อรับของขวัญ ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายไปในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสก็เปลี่ยน เป็นซานตาคลอส และแทนที่จะเป็น สังฆราชซึ่งเป็นนักบุญองค์นั้นก็กลายเป็น ชายแก่ที่รูปร่างอ้วนและดูใจดี เขามักใส่เสื้อโคทที่ทำจากขนสัตว์สีแดงสดมีคลิบสีขาวที่เอวคาดเข็มขัดหนังและรองเท้าบูทสีดำ ซานตอคลอสอาศัยอยู่ที่
ขั้วโลกเหนือ โดยมี เอลฟ์ ซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็กที่ช่วยผลิตของเล่นให้เขานำไปแจกเด็กที่เป็นเด็กดีในคืนวัน คริสต์มาส ซานตาคลอสมีพาหนะเป็นเลื่อนหิมะที่ลากโดย กวางเรนเดียร์ ซึ่งสามารถบินได้ ในกลางดึกวันคริสต์มาสซานตาคลอสจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ และจะแอบเข้าไปในบ้านที่มีเด็กดีทางปล่องไฟ
เพื่อนำของขวัญไปใส่ในถุงเท้าที่แขวนรอไว้หน้าเตาผิง ให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา


วันพุธ, ธันวาคม 22, 2553

สัญญาณเตือน อัลไซเมอร์




ปัจจุบัน ประชากรผู้สูงอายุในประเทศไทยมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะคนมีอายุยืนขึ้น ซึ่งว่าไปแล้วก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ก็ยังมีข้อที่น่าห่วงอยู่คือ เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานของสมองจะลดลง ความคิดและการเรียนรู้สิ่งใหม่อาจจะช้าลง โดยเฉพาะอาจเกิดเป็นโรคอัลไซเมอร์

อัลไซเมอร์ เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการตายของเซลล์ประสาท โดยไม่มีการสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทน ทำให้การทำงานของสมองค่อย ๆเสื่อมลง และในประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 10 ป่วยเป็นอัลไซเมอร์และมีแนวโน้มที่จะเป็นเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี

อาการที่เป็นสัญญาณเตือน

- สูญเสียความจำในระยะสั้น เช่น ลืมสิ่งที่พูดไปแล้ว

- มีปัญหาด้านการพูด เช่น เรียกชื่อสิ่งของง่าย ๆ ไม่ถูกหรือพูดเป็น ประโยคที่เข้าใจยาก

- ไม่รู้เวลาและสถานที่ เช่น หลงทางทั้ง ๆ ที่ยืนอยู่บนถนนตรงข้ามบ้าน

- มีอารมณ์หรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป เช่น เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวเศร้า เกรี้ยว
กราดอย่างไม่มีเหตุผล

วันศุกร์, ธันวาคม 03, 2553

Friend


- A friend is a tissue when you can't stop crying.
เพื่อน คือ กระดาษซับน้ำ้ตาเวลาคุณร้องไห้้
- A friend is a shoulder when you feel like dying.
เพื่อน คือ ไหลพักพิงเวลาคุณรู้สึกอ่อนหล้า
-A friend always listens when you have something to say.
เพื่อน พร้อมที่จะรับฟังเสมอเวลาที่คุณต้องใครสักคน
- A friend is a sun when the rain just won't stop.
เพื่อน คือ แสงอาทิตย์อันสดในในยามที่ฝนพรำ่ตกไม่หยุด
- A friend is your mom when you run into a cop.
เพื่อน เปรียบได้เหมือนแม่ที่คอยช่วยเหลือเวลาคุณมีเรื่องเดือนร้อน
- A friend is a phone call when you can't leave your home.
เพื่อน คือ เสียงตามสายให้คุณหายเหงาเวลาที่ต้องนั้งแกร่วอยู่บ้าน
- A friend is an ear for a secret to tell.
เพื่อน คือ ผู้ที่คอยรับฟังความลับคับใจที่คุณไม่สามารถบอกใครได้
- A friend is an aspirin when your head hurts like hell.
เพื่อน คือ ยาแก้ปวดขนานดีเวลาที่คุณปวดหัวจนแทบระเบิด
- A friend is a love that can never let go.
เพื่อน คือ ความรักที่่ไม่มีวันเลิกรักได้
- A friend is a week when you need a day.
เพื่อน มีเวลาให้คุณมากกว่าที่คุณต้องการเสมอ
- A friend is a crutch when you have a broken heart.
เพื่อน คือ กันชนหัวใจอย่างดีเวลาที่คุณอกหัก
-A friend is some glue when everything falls apart.
เพื่อน คือ กาวใจเวลาที่คุณรู้สึกว่าทุกอย่างแตกกระสานซ่านเซ็น
- A friend is a hand when you feel all alone.
เพื่อน ให้กำลังใจเสมอเวลาที่คุณรู้สึกเดียวดาย
- A friend is a wing if you want to fly.
เพื่อน คือ ปีกอันแข็งแกร่งในยามที่คุณรู้สึกอยากโบยบิน
-A friend understands without knowing why.
เพื่อน เข้าใจคุณ โดยปราศจากงื่อนไข

วันจันทร์, พฤศจิกายน 29, 2553

ทำไม? ลูกเบสบอสมีรอยตะเข็บถึง 108 รอย

เบสบอล ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลายประเทศ เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเพราะอะไร “ลูกเบสบอล” กลมๆ ที่ใช้ในการเล่นกีฬาชนิดนี้จึงต้องมีรอยตะเข็บอยู่รอบๆลูก นอกจากนี้ทำไมนักกีฬาต้องทาสีดำไว้ที่ใต้ตาอีกด้วย ถ้าอยากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็ต้องรีบเข้ามาอ่านกันเลยค่ะ


ทำไม? ลูกเบสบอลต้องมีรอยตะเข็บ ลูกเบสบอลผลิตมาจากไม้ก๊อกและยาง หุ้มด้วยหนังม้า หรือหนังวัว 2 ชิ้น ที่ต้องนำมาเย็บประกบกันกว่า 218 ครั้ง ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดรอยตะเข็บ 108 รอย นักเบสบอลจะต้องอาศัยรอยตะเข็บเหล่านี้ในการควบคุมทิศทางของลูก เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนและทำให้เกิดแรงต้านอากาศแบบต่างๆ ตามวิธีการขว้างลูกที่มีอยู่หลากหลายแบบอีกด้วย


ทำไม? ต้องทาสีดำไว้ที่ใต้ตา อย่าเพิ่งคิดว่านักกีฬาเบสบอลเขาซ้อมหนักจนอดหลับอดนอนทำให้ใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้านะจ๊ะ จริงๆ แล้วการแปะเทป หรือทาสีดำใต้ตานั้น เขาเรียกว่า “อายแบล็ก” ทาเอาไว้เพื่อป้องกันการแสบตา เพราะความมันบนใบหน้า หรือเหงื่อใต้ตาจะทำให้แสงแดดสะท้อนพื้นสนาม ชุดยูนิฟอร์ม และวัตถุอื่นๆ ทำให้นักกีฬาเกิดอาการแสบตา สายตาพร่ามัว และเสียสมาธิได้ ดังนั้นการทาอายแบล็กที่ใต้ตาจะทำให้แสงอาทิตย์ไม่สะท้อน เพราะสีดำมีคุณสมบัติในการดูดซับแสง


การเล่นกีฬานอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วมันยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่สามารถสร้างความสงสัย จนเราต้องคิดหาคำตอบ เหมือนกับ 2 เรื่องนี้ที่เกี่ยวกับกีฬาเบสบอล


วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 28, 2553

***ดอกไม้ที่อันตรายที่สุดในโลก~~***

อันดับ 1 Wisteria กินเข้าไปเมื่อไหร่ ท้องร่วง ท้องเสียอาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อกแหงแก๋ได้เหมือนกัน

อันดับ 2 Foxglove จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก และปากไหม้ด้วยถ้ากินเข้าไปนะ บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ว่ากันว่ามันฆ่ากระต่ายได้


อันดับ 3 Hydrangea มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปละก็จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัวคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน บางคนอาจจะเกิดอาการช็อกได้เลย

อันดับ 4 Lily-of-the-valley ถ้ากินเข้าไปอาจจะต้องถึงกับล้างท้อง

อันดับ 5 Anthurium ถ้าหากว่าเผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังละก็ เสร็จแน่ดอกไม้นี้จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้ ยิ่งถ้าโดนปาก

อันดับ 6 Chrysanthemum หรือดอกเบญจมาศถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ เค้าว่าให้ดูที่เข้ามากินแต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้

อันดับ 7 Oleander ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมดแค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว

อันดับ 8 Ficus มียางที่มีพิษเหลือร้ายถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าละก็ จะเจ็บปวดมาก





วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 18, 2553

6 สมุนไพร ใช้เยียวยาอาการเลือดกำเดาไหล


1. ใบพลู นำใบพลูมา 1 ใบ แล้วม้วนให้เหมือนม้วนบุหรี่ จากนั้นขยี้ปลายข้างหนึ่ง แล้วนำส่วนที่ขยี้สอดเข้าไปในรูจมูกที่เลือดกำเดาไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดกำเดาจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณในการสมานแผลได้ดี

2. น้ำมะนาว บีบน้ำมะนาวครึ่งลูกผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว จากนั้นเติมเกลือครึ่งช้อนชา และน้ำตาลไม่ขัดขาว 1 ช้อนโต๊ะ ชงดื่มวันละแก้ว ก่อนอาหาร วิตามินซีจะช่วยแก้อาการเลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

3. รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนตั้งแต่รากขึ้นไปประมาณ 1 คืบ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า - เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

4. รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า – เย็น

5. รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนักประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1 - 2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้

6. รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

สมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณล้นเหลือ ยังไงก็ลองนำไปใช้ดูนะคะ อีกอย่างของที่มาจากธรรมชาติ รับรองว่าไม่ผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ





วันอังคาร, พฤศจิกายน 16, 2553

ทำไมจึงต้องกวดวิชา


ในปัจจุบันนี้ เด็กที่เรียนหนังสือตามโรงเรียนต่างๆ ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนในชั้นเรียนปกติ และเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เรียนวิชาต่างๆ ที่โรงเรียนเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้ หรือที่ผู้ปกครองพาเด็กไปเรียนเพิ่มเติมเองอีกมากมาย เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น ร้องเพลง เต้นบัลเลต์ เรียนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เรียนฝึกพูด ฯลฯ เด็กบางคนต้องเรียนทุกวันเลยค่ะ และพอสอบถามดูปรากฏว่า เด็กหลายคนเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนย่ำแย่ หรือได้เกรดต่ำแต่ประการใด ทั้งนี้ผู้เขียนได้รวบรวมเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เด็กไป โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษ ดังนี้


1.เรียนอ่อนไม่ทันเพื่อนจริงๆ


2.กลัวแข่งขันกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนพิเศษไม่ได้ ต้องสร้างความมั่นใจ


3.เก่งอยู่แล้ว...แต่อยากเก่งที่ซู้ด


4.สนใจอยากเรียนวิชาต่างๆ เหล่านั้นเพิ่มเติมเอง


5.ผู้ปกครองไม่มีเวลาอบรมดูแล จึงส่งมาไว้ที่โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษต่างๆ โดยหวังว่าเด็กจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และมีครูที่โรงเรียนคอยดูแล


6.เด็กอยู่บ้านเฉยๆ เลยเบื่อ สู้ไปโรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษไม่ได้ จะได้เจอเพื่อนฝูง


จะเห็นได้ว่าจากเหตุผลทั้ง 6 ประการดังกล่าวนี้เป็นเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ อยู่เพียง 3 เหตุผลเท่านั้น คือ
เรียนไม่ทัน อยากส่งเสริมทักษะความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เด็กสนใจเป็นพิเศษ และอยากเก่งที่สุดในสาขาที่เก่งอยู่แล้ว นอกนั้นเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาและเหตุผลทางสังคมเสียมากกว่า ทำให้ผู้ปกครองหลายคนต้องขวนขวายหาสตางค์มาส่งเสียให้ลูกเรียนทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น เด็กบางคนพอลงจากรถก็ไม่ได้เดินเข้าโรงเรียนกวดวิชาหรอกนะคะ แต่ไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ กินขนม ดูหนัง เห็นแล้วเสียดายสตางค์แทน แต่แค่เที่ยวเตร่ไม่เรียนก็ยังพอทน บางรายที่เป็นวัยรุ่นก็คบเพื่อนต่างเพศเดินโอบกอดกัน หรือแอบสูบบุหรี่ในซอยที่ลับตาคน แบบนี้แหละที่เห็นแล้วกลุ้มใจแทนผู้ปกครอง เสียทั้งเงินและอาจจะต้องเสียอนาคตของลูกหลานด้วย


การแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา
และการใช้เวลาว่างของเยาวชนในบ้านเราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองและสถาบันการศึกษา คำว่าสถาบันการศึกษาไม่ได้หมายความถึงเฉพาะโรงเรียนที่เด็กสังกัดอยู่เท่านั้น แต่หมายถึงสถาบันการศึกษาทุกแห่งที่มีส่วนรับผิดชอบในการสร้างเยาวชนของชาติให้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม และพลานามัยที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้


ทุกวันนี้สังคมบ้านเรามุ่งเน้นการแข่งขันชิงเด่นเป็นที่ 1 มากเกินไป
ทำให้โรงเรียน ผู้ปกครอง และเด็ก มีค่านิยมที่ต้องแข่งขันมากเกินความพอดี กล่าวคือ เกิดความเครียด ความกลัวว่าตัวเองจะเก่งไม่พอ จะสู้ไม่ได้ จนต้องเรียนอะไรต่อมิอะไรอยู่ตลอดเวลาจนขาดสมดุลของชีวิต ชีวิตเด็กที่มีคุณภาพคือ มีชั่วโมงเรียน ชั่วโมงเล่น ชั่วโมงพักผ่อน ชั่วโมงอยู่กับครอบครัว ชั่วโมงเรียนรู้โลกเพื่อเข้าสังคมและรู้จักโลกในมุมกว้าง และชั่วโมงเรียนรู้ศีลธรรมจรรยาบรรณ


วันพุธ, พฤศจิกายน 10, 2553

ประโยชน์ของฟักทอง


หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน.....

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

วันอังคาร, กันยายน 14, 2553

อาหารที่ทานแล้วอารมณ์ดี


ปลาแซลมอนและปลาแมคเคอเรล อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีการวิจัยยืนยันว่า หากขาดกรดไขมันชนิดนี้จะไปสู่อาการซึมเศร้าได้


น้ำมันคาโนลา (Canola Oil) คนที่มีอาการซึมเศร้า มักจะมีระดับวิตามินอีต่ำ ซึ่งน้ำมันคาโนลาสามารถทดแทนได้เพราะมีวิตามินอีสูงมาก อาจใช้น้ำมันคาโนลาปรุงอาหารแทนน้ำมันพืชก็ได้ แต่ไม่ควรทานเกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ เพราะจะทำให้อ้วนได้


ผักโขม ผักใบเขียวอย่างผักโขมมีโฟเลตสูง ซึ่งโฟเลตมีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างเซโรโทนิน ลองหันมากินสลัดผักโขมแทนสลัดผักกาดหอมทั่วไป เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ช่วยได้
ถั่วชิกพีหรือถั่วหัวช้าง (Chick Pea) มีโฟเลตและวิตามินอีสูง นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก โปรตีนสูง แต่ไขมันต่ำ เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์

ไก่และไก่งวง มีวิตามินบี 6 สูง ซึ่งเป็นสารอาหารอีกชนิดที่มีส่วนสำคัญในการผลิตเซโรโทนิน นอกจากนี้ไก่และไก่งวงยังอุดมด้วยเซเลเนียม วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญ

วันศุกร์, กันยายน 10, 2553

"อาบช็อคโกแลต" ช่วยบำรุงผิวจริงหรือ ?



มีเครื่องสำอางบางยี่ห้อ ได้นำช็อคโกแลตมาเป็นครีมนวดตัว ครีมขัดผิวและบำรุงผิว แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าช็อคโกแลตเป็นสินค้าที่มีราคาแพง ดังนั้นการนำมาเป็นครีมบำรุงผิวคงจะยิ่งแพงเข้าไปใหญ่เพราะต้องใช้กับพื้นที่ผิวทั่วตัวในปริมาณมาก

ช็อคโกแลต ทำมาจากเมล็ดโกโก้ของต้นโกโก้ เป็นพืชที่ขึ้นในแถบอเมริกาใต้ มีองค์ประกอบหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายจากการรับประทาน เช่น สารคาเทชิน (CATECHINS) เป็นสารต้านอนุมูลอิสสระ มีรายงานทางการแพทย์พบว่าสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและมะเร็งได้

สำหรับผู้ที่รับประทานช็อคโกแลต พบว่า มักจะมีอารมณ์ดีขึ้นช่วยคลายเครียด เนื่องจากช็อคโกแลต ช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเอ็นโดฟินในสมอง ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบของคาเฟอีน เช่นเดียวกับในเมล็ดกาแฟ องค์ประกอบหลักในผงโกโก้ จะประกอบด้วยส่วนที่เป็นไขมันคือ สเตียลิคแอซิด 34% โอลิอิคแอซิด 34% และปาล์มิติคแอซิด 25% ที่เหลือประกอบด้วยสารอาหารอย่างละเล็กน้อยตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ดังนั้นจะพบว่าผู้ที่รับประทานช็อคโกแลตมาก ๆ มักจะอ้วนเร็วเพราะมีไขมันมากนั่นเอง

การนำช็อคโกแลตมาบำรุงผิวหนังทั่วร่างกาย หากจะได้ประโยชน์บ้างก็คงจะเป็นส่วนของวิตามินอีเล็กน้อย และส่วนของไขมัน ที่จะช่วยทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นให้ผิวหนังชุ่มชื้นนุ่มนวล แต่ทั้งวิตามินอีที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยและไขมันที่เป็นองค์ประกอบหลักใน ช็อคโกแลตก็สามารถหาได้จากทั่วไปในราคาที่ถูกกว่ามาก ทั้งจากพืชชนิดอื่น ๆ หรือจากสารสังเคราะห์ ดังนั้นการนำช็อคโกแลตมานวดตัว ขัดตัว หรือบำรุงผิว จึงเป็นการใช้สินค้าไม่คุ้มค่าเงินและไม่จำเป็น

มีนักวิทยาศาสตร์ได้พยายามนำช็อคโกแลต มาผ่านขบวนการทางวิทยาศาสตร์เพื่อสกัดกลิ่นและสีให้หมดไป และนำสารสกัดช็อคโกแลคมาเป็นองค์ประกอบในเครื่องสำอางบำรุงผิว แต่พบว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรมากต่อผิวหนังนอกเหนือจากไขมันหรือน้ำมัน ที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิวทั่วไป เช่นเดียวกับน้ำมันจากพืชชนิดอื่น ๆ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันงา เป็นต้น ซึ่งน้ำมันจากพืชเหล่านี้ ก็มีองค์ประกอบของวิตามินอีเพียงเล็กน้อยเช่นกัน

การนำช็อคโกแลตมานวดตัวขัดตัวและบำรุงผิว จึงเป็นเพียงการพยายามนำเสนอสิ่งแปลกใหม่สู่วงการเครื่องสำอาง เพื่อให้ผู้บริโภคที่ชอบของแปลกใหม่ตื่นเต้น และคงต้องเสียเงินแพงเท่านั้น

วันอังคาร, กันยายน 07, 2553

10 สุดยอดสัตว์มีพิษที่อันตรายที่สุดในโลก

อันดับที่ 10 Puffer Fish ปลาปักเป้า

ปลาปักเป้า คือสัตว์มีพิษที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ฟูกุ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า บ๊อค ฮัง) โดนเนื้อปลาปักเป้านั้น จริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวกผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้า แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้าต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที

อันดับที่ 9 Poison Dart Frog กบลูกดอก

กบลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ ที่อยู่ในป่าฝนในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20,000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม (เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้ พิษของมันถูกนำมาใช้ ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

อันดับที่ 8 Inland Taipan งูไทปันโพ้นทะเล

งูไทปันถูกพบได้มากในทวีป ออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250,000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภายใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน

อันดับที่ 7 The Brazillian Wandering Spider แมงมุมบราซิล

แมงมุมบราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแมงมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมากเพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

อันดับที่ 6 Stonefish ปลาหิน

ถ้าแข่งกันในเรื่องของความสวย งามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก็ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด

อันดับที่ 5 Death Stalker Scorpion แมงป่องเดธท์ สตอล์คเกอร์

แมงป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่…มันไม่ใช่สำหรับแมงป่องพันธุ์เดธท์ สตอล์คเกอร์เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบ ประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อ เด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ

อันดับที่ 4 Blue-Ringed Octopus ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน

ปลาหมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาด ที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญ มันยังไม่มียาแก้พิษ ถ้าโดน ปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่าพิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอและคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบการหายใจจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด

อันดับที่ 3 Marbled Cone Snail หอยเต้าปูนลายหินอ่อน

หอยเต้าปูนตัวเล็กๆ สีสันสวยงาม แต่!!! พิษของมันน่ะเหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆแล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลย แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวด หลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด แต่ยังไงก็ตาม มีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน

อันดับที่ 2 งูจงอาง

งูจงอางหรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ในส่วนประกอบของมันแตกต่างกับพิษงูโดยทั่วไป ที่สำคัญมันพบได้ทั่วไปในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในประเทศไทย

อันดับที่ 1 Box Jellyfish แมงกระพรุนกล่อง

และแล้วแมงกระพรุนกล่องก็ได้ เป็นแชมป์สัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก รายงานว่ามันฆ่าคนไปแล้ว 5,567 คน พิษของมันนั้นจะไปทำลาย หัวใจ ระบบประสาท ผิวหนัง และที่สำคัญ ถ้าโดนพิษมันจะเจ็บปวดอย่างที่สุด ส่วนใหญ่คนที่โดนพิษมันนั้นจะช็อค และหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง แต่ถ้าคุณโดนพิษมันก็ยังมีโอกาสที่จะรอดอยู่นั่นคือ ต้องรีบเอาน้ำส้มสายชู มาล้างอย่างน้อย 30 วินาที เพราะมันจะทำลายพิษของแมงกระพรุนกล่องก่อนที่มันจะเข้าไปสู่กระแสเลือด

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 26, 2553

น้ำผึ้ง อมฤตแห่งน้ำทิพย์


น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 19, 2553

19 ประเทศที่ไม่ต้องทำวีซ่า





กระทรวงต่างประเทศเผย คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าใน 19 ประเทศ
อยู่ได้ 14-90 วัน

กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เผยคนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา(วีซ่า) เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ จำนวน 19 ประเทศ โดยสามารถพำนักอยู่ได้ตั้งแต่14-90 วัน

การยกเว้นวีซ่า สำหรับคนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาว่า ปัจจุปันไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศจำนวน 19ประเทศดังต่อไปนี้...
ประเทศที่อยู่ได้ 90 วันได้แก่
1. อาร์เจนตินา
2. บราซิล
3. ชิลี
4. เกาหลีใต้
5. เปรู
ประเทศที่อยู่ได้ 30 วันได้แก่

1. ฮ่องกง
2. อินโดนีเซีย
3. ลาว
4. มาเก๊า
5. มอง
6. โกเลีย
7. มาเลเซีย
8. มัลดีฟส์
9. รัสเซีย
10. สิงคโปร์
11. แอฟริกาใต้
12. เวียดนาม
ประเทศที่อยู่ได้ 21 วันได้แก่
1.ฟิลิปปินส์
ประเทศที่อยู่ได้ 15 วันได้แก่
1.บาห์เรน
ประเทศที่อยู่ได้ 14 วันได้แก่
1.บรูไน



วันเสาร์, สิงหาคม 14, 2553

ไข้เลือดออก (Dengue Hemorhagic Fever)



พบมากในเด็กอายุ 5-6 ปี รองลงมา 10-15 ปี และ 15 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มพบได้มากขึ้น มีการระบาดในฤดูฝน สาเหตุ 90% จะมีสาเหตุจากเชื้อเดงกี (Dengue) มีระยะฟักตัว 3-15 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกหรือมีอาการรุนแรง ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก ร่างกายจะเกิดปฏิกริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้พลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด และมีเลือดออกง่ายเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โรคนี้มียุงลาย (Aedes aegyptl) เป็นพาหะนำโรคยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋องที่มีน้ำขัง เป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางวัน
อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ไข้สูงลอยตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ผู้ป่วยจะซึม เบื่ออาหาร และมีอาเจียนร่วมด้วย ในราววันที่ 3 อาจมีผื่นแดงไม่คัน ตามแขน ขา และลำตัวอาจคลำพบตับโต และกดเจ็บเล็กน้อย

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการไข้เริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนัก ปวดท้อง อาเจียน ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะน้อย ชีพจรเร็วเบา ความดันต่ำ อาจเสียชีวิตภายใน 1-2 วัน อาจมีเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ้าเลือดออกมากจะทำให้เกิดภาวะช็อครุนแรงถึงตายได้อย่างรวดเร็ว

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมือผ่านช่วงวิกฤตไปแล้วอาการจะดีขึ้นอย่งรวดเร็ว สิ่งที่ตรวจพบคือไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดช้ำเขียว ทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก

อาการแทกซ้อน

1. ภาวะเลือดออกรุนแรง
2. ช็อก
3. ตับวาย มีอาการดีซ่าน
4. กล้อมเนื้อหัวใจอักเสบ
5. หลอดลมอักเสบ
6. ปวดบวมน้ำ

การรักษา

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง ควรให้การรักษาตามอาการโดยให้พักผ่อนมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ และให้ยาลดไข้ ถ้าเด็กเคยชักควรให้ยากันชัก ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมาก ๆ
2. ถ้าอาเจียนมากหรือเกิดภาวะขาดน้ำ ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

การป้องกัน
ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายเช่น ปิดฝาโอ่งน้ำ และล้างโอ่งทุก 10 วัน เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 10 วัน จานรองตู้กับข้าว ควรใส่น้ำเดือดลงไปทุก 10 วัน หรือใส่เกลือแกง 2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ควรเก็บกระป๋องกะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ ทิ้ง หรือเทน้ำที่ขังออกให้หมด

วันพุธ, สิงหาคม 11, 2553

ภัยเงียบ..! ภัยร้าย..! ป้องกันได้ ไวรัสตับอักเสบc



นปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆพัฒนาตามการพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์และการพัฒนาก็ทำให้ค้นพบโรคใหม่ๆ (ที่มีมาก่อนนานแล้วและพัฒนาขึ้นมาใหม่) และยังมีโรคอีกจำนวนมากที่คนไม่สามารถล่วงรู้เงื่อนงำของมันได้

ไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2532 นี่เอง โดยแพทย์ชาวสหัฐอเมริกา เป็นไวรัสตัวอักเสบที่ติอต่อได้ทางเลือดและเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส สายเดี่ยว ขนาดเล็ก พลตรีนายแพทย์อนุชิต จูฑะพุทธิ เลขาธิการมูลนิธิโรคตับแห่งประเทศไทยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงไวรัสตับอักเสบซี ว่า

ไวรัสตับักเสบ ซี มีความสำคัญแค่ไหน

องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เรื่อรังราว 170 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยเราพบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 – 2 โดยพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าภาคอื่น ไวรัสตับอีกเสบ ซี นี้มีสำคัญไม่ด้ยกว่าไวรัสตับอักเสบ บี ได้พบมานานแล้ว และมีการฉีดวัคซีนป้องกันได้กว้างขวาง ทำให้การควบคุมประสบสำเร็จสูง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ลัยังไม่พบว่ามีแนวโน้มที่จะค้นพบในเวลาอันใกล้นี้

ผู้ป่วยจากอาการไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อนังเกือบทุกรายจะมีอาการอักเสบของตับ และทำให้ตับส่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังส่วนใหญ่ไม่มีอาการอักเสบของตับ โดยพบเพียงร้อยละ 15 – 25 เท่านั้นที่มีอาการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง

ใครคือผู้ที่เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบ ซี

1. ผู้ที่มีประวัติได้รับเลือด หรือส่วนประกอบจากเลือดเช่น พลาสมา (น้ำเลือด) หรือเกล็ด ที่อาจเกิดจากการเสียเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือดก่อนการค้นพอไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

3. การสัก การเจาะตามร่างกาย สักคิ้ว ไม่ใช้ของมีคมที่สัมผัสผิวหนังรวมกัน เช่น มีดโอน กรรไกรตัดเล็บแปลงสีฝัน ฯลฯ

4. กลุ่มผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฟอกไตมาเป็นเวลานาน

5. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดจากแม่ไปสู่ลูก(พบได้น้อยมาก)

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัว 6-8 สัปดาห์ จึงเริ่มมีอาการตับอักเสบ จะมีผู้ป่วยประมาณ10 -15 เปอรืเซ็นต์ ที่มีอาการตัวและนัย์ตาเหลือง หรือเป็นดีซาน มีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่อนไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยที่ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกายตลอดเวลา และจะมีอาการอักเสบของตับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ของผู้ป่วยถึงร้อยละ 85 และมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยแค่ร้อยละ 15 ที่อาจจัดการไวรัสได้หมดผู้ป่วยร้อยละ 20.30 จะเกิดอาการตับแข็งหลังจากได้รับเชื้อแล้ว 20 ปี

ปัจจัยที่กระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ได้รับเชื้อตอนที่อายุมากแล้ว ติดเชื้อจาการได้รับเลือด ดื่มเหล้า

อาการที่เกิดจากตับแข็ง

1. เมื่อตับไม่สามารถสร้างสารอาหารพลังงานและทำลายสารพิษต่างๆ ได้ตามปกติ มีผลให้อ่อนเพลียเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้ เท้าบวม บางรายมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน) ตัวเหลือง ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีจ้ำเลือดง่าย ไวต่อสารพิษมาก ป่วยหรือติดเชื้อโรคง่ายถ้าเป็นมากตับจะหยุดทำงาน

2. มีพังผืดหรือแผลในตับมากขึ้น จะอาการอาเจียนเป็นเลือด จากภาวะหลอดเลือดป่งพองในหลอดอาการมีอาหารม้ามโต เพราะเลือดจากม้ามไหลกลับไปสู่ตับได้ช้าลง ถ้าม้ามโตมากๆ จะเกิดอาการกินเม็ดเลือด ทำให้ซีดหรือเกล้ดเลือดต่ำ

หลังจากผู้ป่วยเป็นตับแข็งแล้ว อาการจุรุนแรงมากขึ้นและจะทรุดลงตามลำดับ และจะมีโอกาศเสียชีวิตได้สูงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง เช่น อาเจียนเป็นเลือด จะมีอาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องท้องภาวะตับวาย และผู้ที่เป็นตับแข็งนี้ยังมีโอกาศเป็นมะเร็งตับได้สูงร้อยละ 2 -4 ต่อปี

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี

ส่วนใหญ่นั้นจะรู้ว่าเป็นโดยบังเอิญ เช่น จากการตรวจร่างกายประจำปี การบริจากเลือด เมื่อตรวจพบว่าตับทำงานผิดปกติ แพทย์จะตรวจว่าเป็นเพราะอะไร ในผู้ป่วยบางรายอาจได้รับวัรัสในระยะที่เกิดตับแข็งแล้ว หรือโรคเป็นมะเร็งจากตับแข็ง เช่น ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นมะเร็งตับแล้ว ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจตับและหาไวรัสตับต่างๆ

การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตักเสบ ซี ทางที่ดีจึงเป็นการป้องกันเป็นหลัก โดนหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

การตรวจหาผู้ป่วย

เพราะระยะแรกของโรคนั้นไม่แสดงอาการ จึงต้องตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และถ้าจำได้ว่าเคยดัรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปี 2533 ผู้ที่สำส่อนทางเพศ พวกที่ชอบสัก เจาะเนื้อตัวทั้งหลาย ให้ไปตรวจร่างกายไว้ก่อนได้เลยและถ้าพบว่าการทำงานของตับผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ทัน

การตรวจวินิจฉัยว่าคุณเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี อาจทำได้ 2 วิธี

1. การตรวจจากน้ำเหลือง คือ การตรวจแอนติบอดี้ต่อไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ตรวจกาโดยตรงจากการตรวจหาอาร์เอ็นเอ ของไวรัส

สำหรับการตรวจสายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบ ซี พบว่าสายพันธุ์ของมันมีความสัมพันธุ์อย่างมากกับความสำเร็จของการรักษา โดยพบว่า ไวรัสตับอักเสบ ซี อาจบ่งได้ 6 สายพันธุ์หลัก และมีสายพันธุ์ที่ง่ายต่อการักษาเพียง 5-6 เดือนก็หายได้แล้ว

เมื่อป่วยต้องทำอย่างไรดี

1. ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ ไม่ให้เลือด ไม่เจาะ ไม่สัก ไม่ใช้ ของที่ปนเปื้อนของเหลวกับคนอื่น การร่วมเพศก็ต้องสวมถุงยางอนามัย แล้วทำการรักษาให้หายขาด

2. ดูแลเรื่องอาการการกินให้สะอาด ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เลย

3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทำอันตรายต่อตับ ต้องแจ้งแพทย์ให้รู้ ไม่ควรใช้สมุนไพรบางอย่าง เช่น ใบขี้เหล็ก บอระเพ็ด เพราะพบว่าอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้

4. ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อการรักษาและประเมินการทำงานของตับทุก 3 – 6 เดือน หรือกว่านี้ตามอาการ

การรักษา

เป้าหมายคือ ทำให้ไวรัสตับอักเสบ ซี ตัวนี้หมดไปจากร่างกาย ตับก็จะค่อยๆ คืนความปกติ ยาที่ใช้ในการรักษาได้ผลดี 2 ตัวที่ขอแนะนำ และไม่เป็นอีกหลังหยุดยาคือการให้ยา 2 ตัวร่วมกันเป็นยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนกับยากิน ไรบาไวริน

อินเตอร์เฟอรอน คือ

เป็นโปรตีน สามารถผลิตได้โดยภูมิต้านทานของเราในปริมาณจำกัด จะทำการต่อต้านหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบ ซี การออกฤทธิ์โดยทั่วไปจะไปเสริมให้การทำลายไวรัสบางชนิดรวมถึงไวรัสตับอักเสบ บี และซี เสริมการทำงานของภูมิต้านทาน ปัจจุบันได้พัฒนายาชนิดนี้เป็น เพ็คกิเลตเตดอินเตอร์เฟอรอน ที่มีปะสิธิภาพการักษาที่สูงกว่าการออกฤทธิ์และยาวนานขึ้น มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ไรบาไวริน คือ

เป็นยาที่มีโครงสร้างคล้ายนิวคลีโอไซด์ เป็นสารในการสร้างอาร์เอ็นเอ หรือดีเอ็นเอของไวรัส

ปัจจุบันมาตรฐานการักษานั้น โดยการใช้ยาเพ็คกิเกตเตด อินเตอร์เฟอรอน ร่วมกับไรบาไวรินเป็นเวลา 24 สัปดาห์ในกรณีไม่ใช่ไวรัสสายพันธุ์ที่ 1 และถ้าเป็นสายพันธุ์ที่ 1 จะใช้ประมาณ 48 สัปดาห์ ก็หาย

ภัยเงียบ! ภัยร้าย! ป้องกันได้ วรัสตับอักเสบ ซี แม้จะไม่ทำลายร่างกายโดยเฉียบพลัน แต่ปล่อยไว้ก็ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 05, 2553

ดูฉลากโภชนาการให้เป็น



ตามข้างกล่อง ข้างถุง หรือข้างกระป๋องของอาหารต่างๆ ที่เราซื้อมานั้น หากใครลองมาจับพลิกดูคงจะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่เขียนเอาไว้ว่า “ข้อมูบโภชนาการ” ซึ่งก็คือการแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารนั้นๆ ในรูปของชนิดและปริมาณสารอาหาร นอกเหนือไปจากการระบุชื่อที่อยู่ผู้ผลิต วันผลิต น้ำหนักสุทธิ ที่ต้องระบุอยู่แล้ว โดยข้อมูลโภชนาการนี้มีทั้งแบบเต็มและแบบย้อด้วย

บางคนอ่านเจ้าข้อมูลโภชนาการแล้วก็ยังงงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าหมยาถึงอะไร “108 เคล็ดกิน” จึงจะมาไขข้อข้องใจในฉลากโภชนาการแบบย่อให้ฟังกัน เริ่มจาก”หนึ่งหน่วยบริโภต” ก็หมายถึงปริมาณการกินหรือดื่มต่อครั้ง เช่น หนึ่งหน่วยบริโภค : 1 กล่อง (160 กรัม) หมายถึงกินครั้งละ 1 กล่องหรือ 160 กรัม แต่ถ้าเขียนว่าหนึ่งหน่วยบริโภค : 5 ลูก (150 กรัม) หมายถึง ห่อ ขวด หรือกล่องนี้กินได้กี่ครั้ง เช่น จำนวนหน่วยบริโภคต่อกล่อง: 1 หมายความว่า สามารถกินหมกกล่องภายใน 1 ครั้ง แต่ถ้าเขียนว่า จำนวนหน่วยบริด๓คต่อกล่อง : 3 ก็หมายความว่า 1 กล่องให้แบ่งกินได้ 3 ครั้ง

ส่วน “คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค” หมายถึงเมื่อกินตามปริมาณที่ระบุไว้หนึ่งหน่วยบริโภคแล้วจะได้รับพลังงานและสารอาหารอะไรบ้างในปริมาณน้ำหนักจริงเท่าใด และปริมาณที่กินนี้คิดเป็นร้อยละเท่าไรของปริมาณที่ควรกินได้รับต่อวัน “ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน” หมายถึง สารอาหารที่ได้รับจากการกินแต่ละครั้งตามปริมาณที่ระบุไว่ในหนึ่งหน่วยบริโภคคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ระบุไว้ในหนึ่งหน่วยบริโภคคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน เช่น ถ้าปริมาณอาหารที่กินต่อครั้งให้คาร์โบไฮเรต 8% ของปริมาณที่แนะนำให้กินต่อวัน ก็ต้องกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นๆ อีก 92% และสุดท้าย “Thai RDT” หมายถึง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้กินต่อวันสำหรับคนไทย 6 ปีขึ้นไป เช่น วันหนึ่งๆ ควรได้รับคาร์โบไฮเครตประมาณ 300 กรัม ไขมันน้อยกว่า 65 กรัม เป็นต้น

วันจันทร์, กรกฎาคม 12, 2553

Shakira

ประวัติส่วนตัว

ชื่อจริง ชาคีร่า อิซาเบล เมบารัก ริโพล
(Shakira Isabel Mebarak Ripoll)

วันเกิด 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 (อายุ 33 ปี)

แหล่งกำเนิด โคลัมเบีย

แนวเพลง ป็อป,ละตินป็อป,ป็อปร็อก,ร็อก

อาชีพ นักร้อง,นักแสดง,นักแต่งเพลง

ปี พ.ศ. 2533 – ปัจจุบัน

ค่าย Sony BMG, Epic

ชาคีร่าเกิดวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ที่เมืองบารันกีญ่า ประเทศโคลัมเบีย คุณแม่เป็นชาวโคลัมเบีย มีอาชีพเป็นนักค้าอัญมณี กับคุณพ่อชาวเลบานอน ซึ่งเป็นนักเขียน เมื่อตอนอายุ 10 ปี ชาคีร่าชนะการแข่งขันคว้าตำแหน่งชนะเลิศในการประกวดร้องเพลงในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ และได้เป็นตัวแทนไปร่วมงานเทศกาลเพลง OTI ที่สเปน แต่งานนั้นจำกัดอายุไว้ที่ 16 ปีจึงทำให้ชาคีร่าไม่สามารถไปร่วมงานได้ ต่อมาเมื่ออายุ 13 ปี ได้หันเหไปที่เมืองโบกอต์ ทำอาชีพนางแบบ และได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงกับบริษัทโซนี่เมื่ออายุ 13 ปี ออกผลงานชื่ออัลบั้ม Magia ที่ร่วมแต่งเพลงด้วย และต่อมาออกผลงานชุดที่สอง Peligro[2]ในช่วงนี้ ชาคีร่ากลับไปเรียนต่อระดับชั้นมัธยมจนจบชั้นมัธยมต้น

เข้าสู่วงการ

ในปี 2538 ชาคีร่ามีงานแสดงละครเรื่อง เอล โอเอซิส และออกอัลบั้มในปี 2539 Pies Descalzos จนในปี พ.ศ. 2544 ชาคีร่าเป็นที่รู้จักในระดับสากลกับผลงานชุด Laundry Service ที่มีเพลงดังอย่าง "Whenever, Wherever" และ "Underneath Your Clothes" และผลงานดังอย่าง อัลบั้มภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า “Oral Fixation Vol.2” ที่มีเพลงดังอันดับ 1 บิลบอร์ดอย่างเพลง “Hips Don’t Lies” และ "Don's Brother" ช่วงปี 2550 ชาคีร่าได้มีโปรเจกต์พิเศษโดยมาร้องเพลงร่วมกับบียอนเซ่ในเพลง "บิวติฟูล์ไลอาร์" เป็นซิงเกิ้ลที่อยู่ในอัลบั้ม B-Day Delux Edition โดยสามารถขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ ส่วนในอเมริกาขึ้นสูงสุดที่อันดับ 3 และยังได้รับรางวัลในงาน MTV Europe อีกด้วย

ค.ศ. 1990-1994 Magia และ Peligro

ชาคีร่าได้ออกอัลบั้ม Magia โดยออกในนามของค่านเพลงโซนีบีเอ็มจีที่โคลัมเบียในปี ค.ศ. 1990 เมื่อเธอเพียงสิบสามปี เพลงในชุดนี้มีการผสมแนวเพลงดิสโกเทค อัลบั้มถูกวางจำหน่ายในปี ค.ศ. 1991 โดยแนวเพลงนี้ยังไม่ตรงตามความต้องการของตลาด แม้ว่ได้รับการตอลรับที่ดีในโคลัมเบีย แต่ยอดขายออกไปได้เพียง 1,200

ค.ศ. 1995–1997 Pies Descalzos

ชาคีร่าเริ่มบันทึกเพลง ¿Dónde estás corazón? (ภายหลังออกอัลบั้ม Descalzos) สำหรับการรวบรวมอัลบั้ม "Nuestro Rock" ในปี 1995 โดยเปิดตัวในโคลัมเบียเท่านั้น อัลบั้มวางจำหน่ายวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 สากล โดยอัลบั้มนี้สามารถขึ้นสู้ U.S. Billboard 200 ในอันดับที่ 180 และตำแหน่งที่ # 5 ใน U.S. Billboard Top Latin Albums และที่อื่นๆดังนี้Estoy aquí (U.S. Latin #2), ¿Dónde estás corazón? (U.S. Latin #5), Pies descalzos, Sueños blancos, Un poco de amor (U.S. Latin #6), Antología (U.S. Latin #15) and Se quiere, se mata (U.S. Latin #8).[3]ในเดือน สิงหาคม ค.ศ.1996,RIAA โดยได้รับรางวัล แผ่นเสียงทองคำขาวอีกด้วย

2001–2004: Laundry Service

เมื่อความสำเร็จของ ¿Dónde están los ladrones? และ MTV Unplugged, Shakira โดยเป็นการเริ่มต้น อัลบั้มแรกที่ออกในการโกอินเตอร์ของ ชาคีร่า โดยอัลบั้ม Laundry Service ได้รับการตอบรับด้วยเพลง "Whenever, Wherever" และ "Underneath Your Clothes" เพลงนี้ถูกปล่อยเป็นเพลงช้าแรกของชาคีร่า โดยเพลงได้รัลอิทธิพลจากเพลงของ Andean รวมถึง charango และ panpipes ในการประพันธ์ดนตรี โดยทั้งสองเพลงนั้นทำให้ ชาคีร่าประสบความสำเร็จในระดับสากล

2005-2007: Fixations Era

ในปีนี้ ชาคีร่า ได้เริ่มโครงการ Oral Fixation อย่างเต็มตัว โดยเริ่มจากการออกอัลบั้มแรงในโปรเจกต์ Oral Fixation vol.1 ในชื่อ Fijación Oral Vol. 1 ถูกวางจำหน่ายในสเปนวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 2005 ในไอร์แลนด์วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2005 ในยุโรปและเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2005 ในอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกาและออสเตรเลีย โดยอัลบั้มได้รับประสบความสำเร็จทั้งการวางขายและการออกกากาศ โดยเพลง La Tortura ได้รับ MTV Video Music Awards.และสามารถขึ้นสู่ ‘’Billboard 200’’ได้ในอันดับที่ 23

ต่อมาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 ชาคีร่า เธอได้รับราววัลแกรมมี่ 2 รางวัล. ในเพลง La Tortura Record of the Year and Song of the Year for Album of the Year , Best Pop Vocal Album

2008-present: She Wolf and forthcoming Spanish album

ผลงานเพล

ค.ศ. 1991: "Magia"
Cazador de amor
Cuentas conmigo
Esta noche voy contigo
Gafas oscuras
Lejos de tu amor
Magia
Necesito de ti
Sueños

ค.ศ. 1997: "The Remixes "
Shakira Dj Memegamix
Estoy aquí (Extended Remix)
Estou aquí
¿Dónde estás corazón?
Un poco de amor
Um pouco de amor
Pies descalzos, sueños blancos (Meme's Super Club Mix)
Pes descalcos
Estoy Aqui (Rmx)
¿Dónde estás corazón? (Rmx)
Un poco de amor (Rmx)
Pies descalzos, sueños blancos

ค.ศ. 1998: ¿Dónde están los ladrones?
Ciega, sordomuda
Sombra de ti
Si te vas
Que vuelvas
Ojos así
Octavo día
No creo
Moscas en la casa
Inevitable


ค.ศ. 2001: Pies descalzos
Estoy aquí
Antología
Un poco de amor
Quiero
Te necesito
Vuelve
Te espero sentada
Pies descalzos, sueños blancos
Pienso en ti
¿Dónde estás corazón?
Se quiere, se mata

ค.ศ. 2001: Laundry Service
Objection
Underneath Your Clothes
Whenever, Wherever
Rules
The One
Ready for The Good Times
Fool
Te dejo, Madrid
Poem to a Horse
Que me quedes tú
Eyes Like Yours
Suerte
Te aviso, te anuncio

ค.ศ. 2005: Fijación oral Vol. 1
En tus pupilas
La pared
La tortura
Obtener un sí
Día especial
Escondite inglés
No
Las de la intuición
Día de enero
Lo imprescindible
La tortura (Shaketon Remix)

ค.ศ. 2005: Oral Fixation Vol. 2
How Do You Do
Don't Bother
Illegal
The Day and The Time
Animal City
Dreams for Plans
Hey You
Your Embrace
Costume Makes The Clown
Something
Timor
La tortura

ค.ศ. 2009: "She Wolf"
She Wolf
Did it Again
Long Time
Why Wait
Good Stuff
Men in this Town
Gypsy
Spy (Featuring Wydef Jean)
Mon Amour
Lo Hecho Esta Hecho
Anos Luz
Loba

วันศุกร์, มิถุนายน 25, 2553

กินอะไรดีที่ช่วยให้สดชื่นได้

น้ำดื่ม ปัจจัยหลักของการดำรงชัวิตที่เดียว การดื่มน้ำมาก จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น โดยเฉพาะเวลาหน้าร้อน การดื่มน้ำบ่อยกว่าเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายจะขาดน้ำง่ายกว่าปกติ ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่มีรสชาติอย่างน้ำผลไม้ หรือน้ำโซดากลิ่นผลไม้ก็จะช่วยได้มาก น้ำตาลที่อยู่ในน้ำจะช่วยทำให้เรามีพลังงานสดชื่นขึ้น ส่วนพวกน้ำแร่ก็ดีเช่นกัน
เครื่องดื่มหลังออกกำลังกาย หรือ Sports drinks เครื่องประเภทนี้นอกจากจะให้น้ำและพลังงานแล้ว ยังช่วยป้องกันการขาด น้ำของร่างกายด้วย และคาร์โบไฮเดรตจะให้พลังงาน มีเครื่องดื่มบางแบบที่มีโปรตีนรวมอยู่ด้วยเล้กน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้พลังงานเช่นกัน รวมทั้งทำให้หายเหนื่อยจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้นอีกด้วย
แตงโม เห็นเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำๆ อย่างนี้ บอกไว้ได้เลยว่ามีน้ำและน้ำตาลเยอะ เหมาะสำหรับไว้ทานหน้าร้อนที่สุด ยิ่งเวลาเอาไปแช่ในตู้เย็นมันให้เย็นเจี๊ยบ เอามากินตอนร้อนๆ หวานอร่อยอย่าบอกใคร คนญี่ปุ่นจะชอบกินอตงโมมากๆในช่วงหน้าร้อน ในแตงโมมีปริมาณน้ำกว่า 90% แถมยังมีสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
แตงกวา นี่สุดยอดผักที่มีน้ำเยอะมาก มากกว่าแตงโมเสียอีก คือมีน้ำอยู่ประมาณ 96 % แถมยังไม่มีแคลรี่อีกต่างหาก ถึงแม้ว่า แตงกวาอาจจะไม่ใช่ผักที่มีสารอุดมมากที่สุด แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีน้ำอยู่มาก และมีวิตามินต่างๆ อีกด้วย เอามาใส่สลัดกินเย็นๆ แก้ร้อน อร่อยแถมได้ประดยชน์อีกด้วย
กินผักผลไม้เป็นขนมขบเคี้ยวกีกว่า

วันศุกร์, มิถุนายน 18, 2553

กินครบ 5 รส ได้ประโยชน์ครบถ้วน

คงจำกันได้กับบทเรียนเมื่อสมัยประถมที่คุณครูเคยสอนว่า ลิ้นของเรามีตุ๋มรับรสอยู่ 5 รส ด้วยกันคือเปรี้ยว หวาน เด็มเผ็ด ขม รสทั้ง 5 รสนี้หากผสมรวมกันอย่างพอเหมาะก็จะทำให้เกิดเป็นรสอร่อยขึ้นมาได้ อีกทั้งรสชาติและละรสนี้ก็ยังมีคุณประโยชน์ต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายต่างกันออกไปด้วย

อาหารรสหวาน เช่น ความหวานจากน้ำผึ้งและผลไม้ต่างๆ นั้นมีประโยชน์ต่อระบบย่อยและการทำงานของม้ามช่วยเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต แต่ถ้ากินหวานมากเกินไปก็ทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหมาน อาหาร รสเค็ม เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม จัช่วยให้ลำใส้ดูดซึมดี แต่ถ้ากินเค็มมากไปก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคไตได้
อาหารรสเปรี้ยวจากผลไม้ต่างๆ มีประโยชน์ต่อตับและถุงน้ำดี ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น แต่กินเปรี้ยวมากไปกระเพราะอาหารอาจระคายเคืองได้ อาหารรสขมจากพืชผักต่างๆ มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมสารอาหาร รวมไปถึงระบบขับถ่ายของเสีย ส่วนอาหารรสเผ็ดอย่างพริก ขิง กระเทียม ก็จะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ช่วยขับสารพอษ และช่วยให้ระบบไหลเวียนคล่องตัวขึ้น แต่กินมากไประวังเป็นกระเพราะอาหารได้

วันศุกร์, มิถุนายน 04, 2553

11 อ. เพื่ออายุยืนยาว


ประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านคนในอีก 6 ปีข้างหน้า และปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น คือ ผู้หญิง 70 ปี และผู้ชาย 68 ปี
แต่พออายุถึงวัย 50 บางคนก็ดูทำอะไรช้าลง ระวังตัวมากขึ้น ไม่ค่อยมีความสดชื่น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ในตัว ในขณะที่อีกหลายๆ คน ทั้งที่อายุเลย 60 มาแล้ว แต่ก็ยังสดชื่นอยู่ ดูเป็นหนุ่มใหญ่ สาวใหญ่มาดดี มีเสน่ห์ และยังดูสนุกสนานกับสิ่งข้างๆ รอบตัว ดูมีคุณภาพชีวิตที่ดี
คุณภาพชีวิตที่ดี มีหัวใจสำคัญ 4 อย่าง


1.ร่างกายที่แข็งแรง (Biological)
2.จิตใจที่มีความสุข (Phychological)
3.วิญญาณ หรือความภาคภูมิใจในตัวเอง
4.สังคมดีๆ ที่อยู่รอบตัว (Social) เช่น ลูก หลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ รอบตัว

การปฏิบัติตน อย่างง่ายๆ ตามหลัก 11 อ.

1. อาหาร
ระยะอายุ 50 ปีเป็นวัยที่ควรจะช่วยประคับประคองการทำงานของเซลล์นับล้านๆ เซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ เพราะวัยนี้มีการเสื่อมถอยของระบบการทำงานในอวัยวะทุกระบบ และระบบการเผาพลาญอาหาร (metabolism) ดังนั้นควรลดปริมาณอาหารลง ให้สัมพันธ์กับการใช้พลังงานจริงคือประมาณ 1,500 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก และผลไม้วันละ 5 จานเล็ก
2.อากาศ
ถ้าได้ออกซิเจนที่ดีจากพื้นที่ดปร่งอย่างเช่น ในสวนสาธารณะตอนเช้าๆ จะทำให้เลือดที่สูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายมีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอทำให้เซลล์มีคุรภาพส่งผลให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไอเสียจากรถยนต์หรือโรงงาน ตลอดจนสียงดังจากเครื่องยนต์ต่างๆ โดยอาจจะมีการปลูกต้นไม้รอบๆ บ้านและสร้างรั้วที่มิดชิด

3. ออกกำลังกาย
ช่วยทำให้คงสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ และทำให้การสูบฉีดเลือดไหลเวียน (Blood Circulation) ไปเลี้ยงร่างกาย และเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างดี ทำไห้ร่างกาย และหัวใจทำงานได้อย่างราบรื่น
ผู้สูงอายุควรออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที
4. อนามัย
- ไม่สูบบุรี่ เนื่องจากวัยเสื่อมถอย การสูบบุรี่จะทำให้ถุงลมปอดทำงานได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีคราบนิโคติน และสารพิษอื่นๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในบุหรี่ไปเกาะติดในหลอดลม และถุงลมปอด
- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ตลอดจนยาเสพติดประเภทต่างๆ
- สังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและจิตใจวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสังเกตพบความผิดความปกติในระยะเริ่ใต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดี
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
5. (แสง)อาทิตย์
การรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้า เพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพิ จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสของร่างกาย สามารถป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
6. อารมณ์
ผู้สูงอายุจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น หงุดหงิด โมโหโกรธง่าย ทำให้ขาดสติในการพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล ต่อให้เกิดความขัดแข้งกับบุคคลอื่นได้ง่าย ต้องหาวิธีในการควบคุมอารมณ์ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การทำสมธิ การศึกษาธรรมะ จะช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย มีสติมากขึ้น
7. อดิเรก
ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือลดการหมกหมุ่นในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
8. อบอุ่น
การเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกโอบอ้อม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
9. อุจจาระ / ปัสสาวะ
ถ้ามีปัญหาเรื่องท้องผูก ส่งผลให้มีสารพิษตกค้างในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ถ้าเป็นบ่อยๆ การป้องกันการเกิดท้องผูก โดยการรับประทานอาหารผักผลไม้ดื่มากๆ และออกกำลังกายอบ่างสม่ำเสมอ ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราย เช่น การขมิบก้น และช่องคลอด
10. อุบัติเหตุ
ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุโดยวิธีการต่างๆ เช่น สายตายาวต้องใส่แว่นสายตา หูได้ยินไม่ชัดเจนต้องไปตรวจเพื่อแก้ไข สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมต้องไปปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
11. อนาคต
จะต้องมีการเตรียมเงินและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกัน ในการดำเนินชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยอายุ
หลักการปฏิบัติตัวง่ายๆ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เท่านี้ก็สามารถเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แล้ว

วันศุกร์, พฤษภาคม 28, 2553

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน

ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7 ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ



1. ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า
2.ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ ๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
3.ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น
วันวิสาขบูชา จึงนับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหาที่สุดมิได้ การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จุดมุ่งหมายในการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา เพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 20, 2553

ผลไม้ล้างพิษ


ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทานเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้นอาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษและวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ
>>แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย

สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้งทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่าแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาดทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อยนอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะเนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดมดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

> >>> >>สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูงเอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะและช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหารช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมู

มะละกอ มะม่วง แตงโม :> >>มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อยผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหารดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลินทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารเชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ดหากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามินผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วยอย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ

วันศุกร์, พฤษภาคม 14, 2553

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า


ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า (Momypedia)
อาหารทะเลหรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า “ซีฟู้ด” ที่รวมเอาของอร่อยจากท้องทะเลหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึก ซึ่งหลายคนหลงใหลติดใจในรสชาติกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อ๊ะ อ๊ะ…อย่าเพิ่งดูถูกคิดว่า ซีฟู้ดมีความอร่อยเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะว่าไปแล้วคุณค่าและประโยชน์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวนี่ต่างหากที่เป็นไม้เด็ดทำเอาใครต่อใครติดใจหลงรักเข้าเต็มเปา
อาหารทะเลนอกจากจะเป็นโปรตีนชั้นดีแล้ว ยังมีความพิเศษตรงที่มีแร่ธาตุสำคัญอย่าง ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 ,บี 2 และบี 6 อีกด้วย
เนื้อปลา
เป็นพระเอกในหมู่อาหารทะเลทั้งมวล เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไร้คาร์โบโฮเดรต แถมมากวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลานุ่ม ๆ หรือปลาเล็กปลาน้อยกรุบกรอบ ล้วนเหมาะกับคนทุกเพศวัย เลือกอร่อยกันได้อย่างสบายใจเลย
กุ้ง
กุ้งสด กินแล้วให้โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต บำรุงร่างกายสดชื่นให้แข็งแรง แต่ถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่กินได้ทั้งตัวพร้อมเปลือก จะยิ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแกร่ง เหมาะกับว่าที่คุณแม่ รวมถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่กลัวโรคกระดูกพรุนถามหาเป็นอันมาก
ปลาหมึก
เป็นแหล่งโปรตีนมีแร่ธาตุไม่น้อยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เนื้อขาวๆ ของปลาหมึกมีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่ กินบ่อยๆ คงไม่ไหว แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งพอให้หายคิดถึง น่าจะกำลังดีจ้ะ
ปู-หอย
ในเนื้อปูเนื้อหอยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมไปถึงวิตามินที่มีประโยชน์ ทว่าคาร์โบโฮเดรตที่มีอยู่ร้อยละ 2 ในตัวอาจเป็นอุปสรรคทำให้ตามใจปากกินมากๆ ไม่ได้ เผลอใจกินเข้าไปเยอะน้ำหนักขึ้นอ้วนได้ง่ายๆ เลยเชียวนะ
-สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เมื่อกินอาหารทะเล คือ ความสดและความสะอาด ยิ่งสดยิ่งอร่อย ยิ่งสะอาดยิ่งปลอดภัย อย่าลืมซิคะว่าอาหารทะเลมักจะมีแบคทีเรียปนเปื้อนมากับผิว เปลือก หรือกระดองได้ เพื่อความมั่นใจไม่อยากเสี่ยงกับอาการท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เพราะอาหารทะเลทำพิษแล้วละก็ ต้องล้างผิว แปรงเปลือกหรือกระดอง ให้สะอาดก่อนเพื่อขจัดแบคทีเรียที่มีอยู่ไปส่วนหนึ่ง
-ส่วนกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียไปได้ถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คราวนี้คุณก็จะอร่อยกับซีฟู้ดจานโปรดได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ไอโอดีน…สำคัญใช่ย่อย!
ในอาหารทะเลมีไอโอดีนอยู่ถึง 54 ไมโครกรัมต่ออาหารที่กินได้ 100 กรัม ซีฟู้ดจึงเป็นแหล่งไอโอดีนที่สำคัญของทุกๆ คน แม้ว่าปริมาณแร่ธาตุที่ชื่อว่าไอโอดีนที่ร่างกายต้องการจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขาดได้ไม่เพียงพอขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้อย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดโรคคอพอก สมองทำงานไม่ปกติ มีพัฒนาการและเรียนรู้ช้า หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ” และถ้าขณะอุ้มท้องอยู่แม่ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป ลูกในท้องก็ไม่ค่อยเติบโตและเสี่ยงกับการพิการ หูหนวก เป็นใบ้ ปัญญาทึบได้อีกด้วย
***ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราจึงควรทานอาหารทะเลอย่างน้อยอาทิตย์ 2-3ครั้ง และใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารเป็นประจำค่ะ***