วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 26, 2553

น้ำผึ้ง อมฤตแห่งน้ำทิพย์


น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารที่มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีสรรพคุณทางยาและคุณค่ามาก แม้แต่ในสมัยพุทธกาลมีการถวายข้าวมธุปายาส ซึ่งมีการผสมด้วยน้ำผึ้ง ทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้ากลับมาสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว น้ำผึ้งยังมีประโยชน์กับความสวยความงามด้วยค่ะ ก่อนที่เราจะมาติดตามนานาประโยชน์ของน้ำผึ้งเราควรจะมาทำความรู้จักกับน้ำผึ้งก่อนค่ะ

น้ำผึ้งเกิดจากการที่ผึ้งนำน้ำจากเกสรดอกไม้ที่เป็นน้ำหวานจากธรรมชาติมาแล้วใช้กรด Enzyme ในห้องผึ้งเปลี่ยนแปลงมาเป็นน้ำผึ้ง ซึ่งน้ำผึ้งที่ได้มานั้นย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ เพราะฉะนั้นน้ำผึ้งที่ได้จากรังผึ้งในป่าใหญ่ จึงมีความสมบูรณ์และมีแร่ธาตุอาหารที่แตกต่างจากน้ำผึ้งเลี้ยง ส่วนน้ำผึ้งเลี้ยงจะมีการเติมน้ำหวานจากน้ำตาลและเกสรเทียมซึ่งทำให้คุณค่าลดน้อยลงไป

วิธีสังเกตว่าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติทำได้โดยการนำน้ำผึ้งใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่านั่นเอง

มาดูถึงคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งกันบ้าง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต บอกเป็นภาษาโภชนาการมาพอสมควร ลองยกตัวอย่างที่เห็นง่าย ๆ ดีกว่า

ช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งได้มีการพิสูจน์และใช้กันมานานในอเมริกาและยุโรป โดยนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Honey) 3 ช้อนชา และน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลไม่ผ่านความร้อน (Raw Organic Apple Cider Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอน และระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

อาหารเช้าสำหรับสาวทำงานและผู้รักสุขภาพ เพียงนำผลไม้ต่าง ๆ มาหั่น เช่น มะละกอ กล้วย ส้ม ตามชอบ ราดด้วยโยเกิร์ต ลูกเกด และน้ำผึ้ง ไปผ่านความร้อน คุณก็จะได้อาหารเช้าที่มีประโยชน์ อร่อย อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุอาหาร เอนไซน์ และโปรตีนที่ย่อยง่าย

ผู้ที่นอนไม่ค่อยหลับ ผสมน้ำผึ้งกับน้ำผุ่นหรือนมร้อนจะช่วยให้คุณหลับสบาย แต่ถ้าได้ร่วมกับการนั่งสมาธิซัก 5 นาทีก่อนนอน เพื่อให้ท่านได้หยุดพักความคิดและปล่อยวางลงบ้าง จะยิ่งทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่คุณได้พักผ่อนเต็มที่

สำหรับผิวหน้าสดใส ผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยนหรือต้องการบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ มีวิธีง่าย ๆ ดังนี้ หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นและเช็ดให้แห้งแล้ว นำกล้วยหอม 1/2 ลูก นำมาบดผสมกับน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อน แล้วนำมาทาบนหน้า ทิ้งไว้ซัก 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งไม่ผานความร้อนจะมีเอ็นไซน์ ซึ่งทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นและนุ่มนวลขึ้น

เพื่อผมเงางาม หลังสระผมเสร็จนำน้ำผึ้งไม่ผ่านความร้อนผสมกับน้ำมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ นำมาชโลมผมแล้วทิ้งไว้ซัก 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามตามธรรมชาติปราศจากสารเคมีใด ๆ

จะเห็นได้ว่า "น้ำผึ้ง" มีคุณประโยชน์มากมายต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่สมัยโบราณหมอชาวบ้านหรือแพทย์แผนโบราณจะนำน้ำผึ้งเดือน 5 หรือน้ำผึ้งแท้มาเป็นส่วนผสมในการปรุงยา หรือเป็นตัวประสานในยา เช่น นำมาปั่นเป็นลูกกลอน เป็นน้ำกระสายละลายผงยา และน้ำผึ้งจัดเป็นตัวยาสมุนไพรสำคัญอย่างหนึ่งทีเดียวในการเอามาทำยาอายุวัฒนะในทุก ๆ ครั้ง นั่นก็เป็นเพราะคุณค่าอันมีประโยชน์อย่างมากมายที่ทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอายุยืนยาวมากกว่าปกติ

รู้คุณค่าอย่างนี้แล้ว เราน่าจะหาน้ำผึ้งป่าแท้ ๆ ไว้รับประทานเป็นประจำที่บ้านสักขวด เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวเราเองและคนใกล้ชิด


วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 19, 2553

19 ประเทศที่ไม่ต้องทำวีซ่า





กระทรวงต่างประเทศเผย คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าใน 19 ประเทศ
อยู่ได้ 14-90 วัน

กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เผยคนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดา ไม่ต้องขอรับการตรวจลงตรา(วีซ่า) เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ จำนวน 19 ประเทศ โดยสามารถพำนักอยู่ได้ตั้งแต่14-90 วัน

การยกเว้นวีซ่า สำหรับคนไทยที่ถือหนังสือเดินทางธรรมดาว่า ปัจจุปันไม่ต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางไปต่างประเทศจำนวน 19ประเทศดังต่อไปนี้...
ประเทศที่อยู่ได้ 90 วันได้แก่
1. อาร์เจนตินา
2. บราซิล
3. ชิลี
4. เกาหลีใต้
5. เปรู
ประเทศที่อยู่ได้ 30 วันได้แก่

1. ฮ่องกง
2. อินโดนีเซีย
3. ลาว
4. มาเก๊า
5. มอง
6. โกเลีย
7. มาเลเซีย
8. มัลดีฟส์
9. รัสเซีย
10. สิงคโปร์
11. แอฟริกาใต้
12. เวียดนาม
ประเทศที่อยู่ได้ 21 วันได้แก่
1.ฟิลิปปินส์
ประเทศที่อยู่ได้ 15 วันได้แก่
1.บาห์เรน
ประเทศที่อยู่ได้ 14 วันได้แก่
1.บรูไน



วันเสาร์, สิงหาคม 14, 2553

ไข้เลือดออก (Dengue Hemorhagic Fever)



พบมากในเด็กอายุ 5-6 ปี รองลงมา 10-15 ปี และ 15 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มพบได้มากขึ้น มีการระบาดในฤดูฝน สาเหตุ 90% จะมีสาเหตุจากเชื้อเดงกี (Dengue) มีระยะฟักตัว 3-15 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยที่อาจมีเลือดออกหรือมีอาการรุนแรง ต่อมาเมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก ร่างกายจะเกิดปฏิกริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะ เกล็ดเลือดต่ำ ทำให้พลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด และมีเลือดออกง่ายเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะช็อก

โรคนี้มียุงลาย (Aedes aegyptl) เป็นพาหะนำโรคยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋องที่มีน้ำขัง เป็นยุงที่ออกหากินเวลากลางวัน
อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง จะมีไข้สูงเฉียบพลัน ไข้สูงลอยตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ผู้ป่วยจะซึม เบื่ออาหาร และมีอาเจียนร่วมด้วย ในราววันที่ 3 อาจมีผื่นแดงไม่คัน ตามแขน ขา และลำตัวอาจคลำพบตับโต และกดเจ็บเล็กน้อย

ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก อาการไข้เริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยมีอาการทรุดหนัก ปวดท้อง อาเจียน ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะน้อย ชีพจรเร็วเบา ความดันต่ำ อาจเสียชีวิตภายใน 1-2 วัน อาจมีเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด หรือสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ถ้าเลือดออกมากจะทำให้เกิดภาวะช็อครุนแรงถึงตายได้อย่างรวดเร็ว

ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมือผ่านช่วงวิกฤตไปแล้วอาการจะดีขึ้นอย่งรวดเร็ว สิ่งที่ตรวจพบคือไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดช้ำเขียว ทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก

อาการแทกซ้อน

1. ภาวะเลือดออกรุนแรง
2. ช็อก
3. ตับวาย มีอาการดีซ่าน
4. กล้อมเนื้อหัวใจอักเสบ
5. หลอดลมอักเสบ
6. ปวดบวมน้ำ

การรักษา

1. ถ้าอาการไม่รุนแรง ควรให้การรักษาตามอาการโดยให้พักผ่อนมาก ๆ เช็ดตัวลดไข้ และให้ยาลดไข้ ถ้าเด็กเคยชักควรให้ยากันชัก ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมาก ๆ
2. ถ้าอาเจียนมากหรือเกิดภาวะขาดน้ำ ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

การป้องกัน
ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลายเช่น ปิดฝาโอ่งน้ำ และล้างโอ่งทุก 10 วัน เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 10 วัน จานรองตู้กับข้าว ควรใส่น้ำเดือดลงไปทุก 10 วัน หรือใส่เกลือแกง 2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว ควรเก็บกระป๋องกะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ ทิ้ง หรือเทน้ำที่ขังออกให้หมด

วันพุธ, สิงหาคม 11, 2553

ภัยเงียบ..! ภัยร้าย..! ป้องกันได้ ไวรัสตับอักเสบc



นปัจจุบัน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆพัฒนาตามการพัฒนาเทคโนโลยีของมนุษย์และการพัฒนาก็ทำให้ค้นพบโรคใหม่ๆ (ที่มีมาก่อนนานแล้วและพัฒนาขึ้นมาใหม่) และยังมีโรคอีกจำนวนมากที่คนไม่สามารถล่วงรู้เงื่อนงำของมันได้

ไวรัสชนิดนี้ถูกค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2532 นี่เอง โดยแพทย์ชาวสหัฐอเมริกา เป็นไวรัสตัวอักเสบที่ติอต่อได้ทางเลือดและเป็นอาร์เอ็นเอไวรัส สายเดี่ยว ขนาดเล็ก พลตรีนายแพทย์อนุชิต จูฑะพุทธิ เลขาธิการมูลนิธิโรคตับแห่งประเทศไทยโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวถึงไวรัสตับอักเสบซี ว่า

ไวรัสตับักเสบ ซี มีความสำคัญแค่ไหน

องค์การอนามัยโลกได้ประมาณว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เรื่อรังราว 170 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยเราพบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 – 2 โดยพบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากกว่าภาคอื่น ไวรัสตับอีกเสบ ซี นี้มีสำคัญไม่ด้ยกว่าไวรัสตับอักเสบ บี ได้พบมานานแล้ว และมีการฉีดวัคซีนป้องกันได้กว้างขวาง ทำให้การควบคุมประสบสำเร็จสูง ส่วนไวรัสตับอักเสบ ซี ยังไม่มีวัคซีนป้องกันได้ลัยังไม่พบว่ามีแนวโน้มที่จะค้นพบในเวลาอันใกล้นี้

ผู้ป่วยจากอาการไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อนังเกือบทุกรายจะมีอาการอักเสบของตับ และทำให้ตับส่อมสภาพลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่ไวรัสตับอักเสบ ชนิด บี ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเรื้อรังส่วนใหญ่ไม่มีอาการอักเสบของตับ โดยพบเพียงร้อยละ 15 – 25 เท่านั้นที่มีอาการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรัง

ใครคือผู้ที่เสี่ยงติดไวรัสตับอักเสบ ซี

1. ผู้ที่มีประวัติได้รับเลือด หรือส่วนประกอบจากเลือดเช่น พลาสมา (น้ำเลือด) หรือเกล็ด ที่อาจเกิดจากการเสียเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือด หรือป่วยเป็นไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยได้รับเลือดก่อนการค้นพอไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด

3. การสัก การเจาะตามร่างกาย สักคิ้ว ไม่ใช้ของมีคมที่สัมผัสผิวหนังรวมกัน เช่น มีดโอน กรรไกรตัดเล็บแปลงสีฝัน ฯลฯ

4. กลุ่มผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับการฟอกไตมาเป็นเวลานาน

5. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดจากแม่ไปสู่ลูก(พบได้น้อยมาก)

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกายจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อไวรัสตับอักเสบ ซี เข้าสู่ร่างกาย จะมีระยะฟักตัว 6-8 สัปดาห์ จึงเริ่มมีอาการตับอักเสบ จะมีผู้ป่วยประมาณ10 -15 เปอรืเซ็นต์ ที่มีอาการตัวและนัย์ตาเหลือง หรือเป็นดีซาน มีอาการคล้ายๆ เป็นไข้หวัดใหญ่ อ่อนเพลียมาก รู้สึกเบื่ออาหาร คลื่อนไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยเองส่วนใหญ่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง โดยที่ยังมีไวรัสอยู่ในร่างกายตลอดเวลา และจะมีอาการอักเสบของตับขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ของผู้ป่วยถึงร้อยละ 85 และมีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อยแค่ร้อยละ 15 ที่อาจจัดการไวรัสได้หมดผู้ป่วยร้อยละ 20.30 จะเกิดอาการตับแข็งหลังจากได้รับเชื้อแล้ว 20 ปี

ปัจจัยที่กระตุ้นให้มีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ได้รับเชื้อตอนที่อายุมากแล้ว ติดเชื้อจาการได้รับเลือด ดื่มเหล้า

อาการที่เกิดจากตับแข็ง

1. เมื่อตับไม่สามารถสร้างสารอาหารพลังงานและทำลายสารพิษต่างๆ ได้ตามปกติ มีผลให้อ่อนเพลียเบื่ออาหาร น้ำหนักลด คลื่นไส้ เท้าบวม บางรายมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน) ตัวเหลือง ผิวแห้ง คันตามตัว หรือมีจ้ำเลือดง่าย ไวต่อสารพิษมาก ป่วยหรือติดเชื้อโรคง่ายถ้าเป็นมากตับจะหยุดทำงาน

2. มีพังผืดหรือแผลในตับมากขึ้น จะอาการอาเจียนเป็นเลือด จากภาวะหลอดเลือดป่งพองในหลอดอาการมีอาหารม้ามโต เพราะเลือดจากม้ามไหลกลับไปสู่ตับได้ช้าลง ถ้าม้ามโตมากๆ จะเกิดอาการกินเม็ดเลือด ทำให้ซีดหรือเกล้ดเลือดต่ำ

หลังจากผู้ป่วยเป็นตับแข็งแล้ว อาการจุรุนแรงมากขึ้นและจะทรุดลงตามลำดับ และจะมีโอกาศเสียชีวิตได้สูงจากภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง เช่น อาเจียนเป็นเลือด จะมีอาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อในช่องท้องภาวะตับวาย และผู้ที่เป็นตับแข็งนี้ยังมีโอกาศเป็นมะเร็งตับได้สูงร้อยละ 2 -4 ต่อปี

ทราบได้อย่างไรว่าเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี

ส่วนใหญ่นั้นจะรู้ว่าเป็นโดยบังเอิญ เช่น จากการตรวจร่างกายประจำปี การบริจากเลือด เมื่อตรวจพบว่าตับทำงานผิดปกติ แพทย์จะตรวจว่าเป็นเพราะอะไร ในผู้ป่วยบางรายอาจได้รับวัรัสในระยะที่เกิดตับแข็งแล้ว หรือโรคเป็นมะเร็งจากตับแข็ง เช่น ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด หรือเป็นมะเร็งตับแล้ว ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจตับและหาไวรัสตับต่างๆ

การป้องกัน

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัสตักเสบ ซี ทางที่ดีจึงเป็นการป้องกันเป็นหลัก โดนหลี่กเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

การตรวจหาผู้ป่วย

เพราะระยะแรกของโรคนั้นไม่แสดงอาการ จึงต้องตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และถ้าจำได้ว่าเคยดัรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดก่อนปี 2533 ผู้ที่สำส่อนทางเพศ พวกที่ชอบสัก เจาะเนื้อตัวทั้งหลาย ให้ไปตรวจร่างกายไว้ก่อนได้เลยและถ้าพบว่าการทำงานของตับผิดปกติจะได้ทำการรักษาได้ทัน

การตรวจวินิจฉัยว่าคุณเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี อาจทำได้ 2 วิธี

1. การตรวจจากน้ำเหลือง คือ การตรวจแอนติบอดี้ต่อไวรัสตับอักเสบ ซี

2. ตรวจกาโดยตรงจากการตรวจหาอาร์เอ็นเอ ของไวรัส

สำหรับการตรวจสายพันธุ์ของไวรัสตับอักเสบ ซี พบว่าสายพันธุ์ของมันมีความสัมพันธุ์อย่างมากกับความสำเร็จของการรักษา โดยพบว่า ไวรัสตับอักเสบ ซี อาจบ่งได้ 6 สายพันธุ์หลัก และมีสายพันธุ์ที่ง่ายต่อการักษาเพียง 5-6 เดือนก็หายได้แล้ว

เมื่อป่วยต้องทำอย่างไรดี

1. ไม่เป็นผู้แพร่เชื้อ ไม่ให้เลือด ไม่เจาะ ไม่สัก ไม่ใช้ ของที่ปนเปื้อนของเหลวกับคนอื่น การร่วมเพศก็ต้องสวมถุงยางอนามัย แล้วทำการรักษาให้หายขาด

2. ดูแลเรื่องอาการการกินให้สะอาด ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่เลย

3. หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่ทำอันตรายต่อตับ ต้องแจ้งแพทย์ให้รู้ ไม่ควรใช้สมุนไพรบางอย่าง เช่น ใบขี้เหล็ก บอระเพ็ด เพราะพบว่าอาจทำให้เกิดตับอักเสบได้

4. ควรไปพบแพทย์สม่ำเสมอ เพื่อการรักษาและประเมินการทำงานของตับทุก 3 – 6 เดือน หรือกว่านี้ตามอาการ

การรักษา

เป้าหมายคือ ทำให้ไวรัสตับอักเสบ ซี ตัวนี้หมดไปจากร่างกาย ตับก็จะค่อยๆ คืนความปกติ ยาที่ใช้ในการรักษาได้ผลดี 2 ตัวที่ขอแนะนำ และไม่เป็นอีกหลังหยุดยาคือการให้ยา 2 ตัวร่วมกันเป็นยาฉีดในกลุ่มอินเตอร์เฟอรอนกับยากิน ไรบาไวริน

อินเตอร์เฟอรอน คือ

เป็นโปรตีน สามารถผลิตได้โดยภูมิต้านทานของเราในปริมาณจำกัด จะทำการต่อต้านหรือกำจัดไวรัสตับอักเสบ ซี การออกฤทธิ์โดยทั่วไปจะไปเสริมให้การทำลายไวรัสบางชนิดรวมถึงไวรัสตับอักเสบ บี และซี เสริมการทำงานของภูมิต้านทาน ปัจจุบันได้พัฒนายาชนิดนี้เป็น เพ็คกิเลตเตดอินเตอร์เฟอรอน ที่มีปะสิธิภาพการักษาที่สูงกว่าการออกฤทธิ์และยาวนานขึ้น มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

ไรบาไวริน คือ

เป็นยาที่มีโครงสร้างคล้ายนิวคลีโอไซด์ เป็นสารในการสร้างอาร์เอ็นเอ หรือดีเอ็นเอของไวรัส

ปัจจุบันมาตรฐานการักษานั้น โดยการใช้ยาเพ็คกิเกตเตด อินเตอร์เฟอรอน ร่วมกับไรบาไวรินเป็นเวลา 24 สัปดาห์ในกรณีไม่ใช่ไวรัสสายพันธุ์ที่ 1 และถ้าเป็นสายพันธุ์ที่ 1 จะใช้ประมาณ 48 สัปดาห์ ก็หาย

ภัยเงียบ! ภัยร้าย! ป้องกันได้ วรัสตับอักเสบ ซี แม้จะไม่ทำลายร่างกายโดยเฉียบพลัน แต่ปล่อยไว้ก็ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 05, 2553

ดูฉลากโภชนาการให้เป็น



ตามข้างกล่อง ข้างถุง หรือข้างกระป๋องของอาหารต่างๆ ที่เราซื้อมานั้น หากใครลองมาจับพลิกดูคงจะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่เขียนเอาไว้ว่า “ข้อมูบโภชนาการ” ซึ่งก็คือการแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารนั้นๆ ในรูปของชนิดและปริมาณสารอาหาร นอกเหนือไปจากการระบุชื่อที่อยู่ผู้ผลิต วันผลิต น้ำหนักสุทธิ ที่ต้องระบุอยู่แล้ว โดยข้อมูลโภชนาการนี้มีทั้งแบบเต็มและแบบย้อด้วย

บางคนอ่านเจ้าข้อมูลโภชนาการแล้วก็ยังงงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าหมยาถึงอะไร “108 เคล็ดกิน” จึงจะมาไขข้อข้องใจในฉลากโภชนาการแบบย่อให้ฟังกัน เริ่มจาก”หนึ่งหน่วยบริโภต” ก็หมายถึงปริมาณการกินหรือดื่มต่อครั้ง เช่น หนึ่งหน่วยบริโภค : 1 กล่อง (160 กรัม) หมายถึงกินครั้งละ 1 กล่องหรือ 160 กรัม แต่ถ้าเขียนว่าหนึ่งหน่วยบริโภค : 5 ลูก (150 กรัม) หมายถึง ห่อ ขวด หรือกล่องนี้กินได้กี่ครั้ง เช่น จำนวนหน่วยบริโภคต่อกล่อง: 1 หมายความว่า สามารถกินหมกกล่องภายใน 1 ครั้ง แต่ถ้าเขียนว่า จำนวนหน่วยบริด๓คต่อกล่อง : 3 ก็หมายความว่า 1 กล่องให้แบ่งกินได้ 3 ครั้ง

ส่วน “คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค” หมายถึงเมื่อกินตามปริมาณที่ระบุไว้หนึ่งหน่วยบริโภคแล้วจะได้รับพลังงานและสารอาหารอะไรบ้างในปริมาณน้ำหนักจริงเท่าใด และปริมาณที่กินนี้คิดเป็นร้อยละเท่าไรของปริมาณที่ควรกินได้รับต่อวัน “ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน” หมายถึง สารอาหารที่ได้รับจากการกินแต่ละครั้งตามปริมาณที่ระบุไว่ในหนึ่งหน่วยบริโภคคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ระบุไว้ในหนึ่งหน่วยบริโภคคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน เช่น ถ้าปริมาณอาหารที่กินต่อครั้งให้คาร์โบไฮเรต 8% ของปริมาณที่แนะนำให้กินต่อวัน ก็ต้องกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นๆ อีก 92% และสุดท้าย “Thai RDT” หมายถึง ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้กินต่อวันสำหรับคนไทย 6 ปีขึ้นไป เช่น วันหนึ่งๆ ควรได้รับคาร์โบไฮเครตประมาณ 300 กรัม ไขมันน้อยกว่า 65 กรัม เป็นต้น