วันจันทร์, พฤศจิกายน 29, 2553

ทำไม? ลูกเบสบอสมีรอยตะเข็บถึง 108 รอย

เบสบอล ถือว่าเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหลายประเทศ เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าเพราะอะไร “ลูกเบสบอล” กลมๆ ที่ใช้ในการเล่นกีฬาชนิดนี้จึงต้องมีรอยตะเข็บอยู่รอบๆลูก นอกจากนี้ทำไมนักกีฬาต้องทาสีดำไว้ที่ใต้ตาอีกด้วย ถ้าอยากรู้คำตอบของคำถามเหล่านี้ก็ต้องรีบเข้ามาอ่านกันเลยค่ะ


ทำไม? ลูกเบสบอลต้องมีรอยตะเข็บ ลูกเบสบอลผลิตมาจากไม้ก๊อกและยาง หุ้มด้วยหนังม้า หรือหนังวัว 2 ชิ้น ที่ต้องนำมาเย็บประกบกันกว่า 218 ครั้ง ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดรอยตะเข็บ 108 รอย นักเบสบอลจะต้องอาศัยรอยตะเข็บเหล่านี้ในการควบคุมทิศทางของลูก เพราะมันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนและทำให้เกิดแรงต้านอากาศแบบต่างๆ ตามวิธีการขว้างลูกที่มีอยู่หลากหลายแบบอีกด้วย


ทำไม? ต้องทาสีดำไว้ที่ใต้ตา อย่าเพิ่งคิดว่านักกีฬาเบสบอลเขาซ้อมหนักจนอดหลับอดนอนทำให้ใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้านะจ๊ะ จริงๆ แล้วการแปะเทป หรือทาสีดำใต้ตานั้น เขาเรียกว่า “อายแบล็ก” ทาเอาไว้เพื่อป้องกันการแสบตา เพราะความมันบนใบหน้า หรือเหงื่อใต้ตาจะทำให้แสงแดดสะท้อนพื้นสนาม ชุดยูนิฟอร์ม และวัตถุอื่นๆ ทำให้นักกีฬาเกิดอาการแสบตา สายตาพร่ามัว และเสียสมาธิได้ ดังนั้นการทาอายแบล็กที่ใต้ตาจะทำให้แสงอาทิตย์ไม่สะท้อน เพราะสีดำมีคุณสมบัติในการดูดซับแสง


การเล่นกีฬานอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้วมันยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่สามารถสร้างความสงสัย จนเราต้องคิดหาคำตอบ เหมือนกับ 2 เรื่องนี้ที่เกี่ยวกับกีฬาเบสบอล


วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 28, 2553

***ดอกไม้ที่อันตรายที่สุดในโลก~~***

อันดับ 1 Wisteria กินเข้าไปเมื่อไหร่ ท้องร่วง ท้องเสียอาเจียน ปวดหัว เป็นไข้ วิงเวียนแน่และถ้าไปโรงพยาบาลไม่ทัน อาจจะช็อกแหงแก๋ได้เหมือนกัน

อันดับ 2 Foxglove จะทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องมาก และปากไหม้ด้วยถ้ากินเข้าไปนะ บางคนก็จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ ว่ากันว่ามันฆ่ากระต่ายได้


อันดับ 3 Hydrangea มันสวยก็จริง แต่ถ้ากินเข้าไปละก็จะเนื้อตัวเย็นเฉียบ ครั่นเนื้อครั่นตัวคลื่นไส้ อยากจะอาเจียน บางคนอาจจะเกิดอาการช็อกได้เลย

อันดับ 4 Lily-of-the-valley ถ้ากินเข้าไปอาจจะต้องถึงกับล้างท้อง

อันดับ 5 Anthurium ถ้าหากว่าเผลอแตะโดนบริเวณไหนของผิวหนังละก็ เสร็จแน่ดอกไม้นี้จะทำให้ร่างกายของคุณไหม้ ยิ่งถ้าโดนปาก

อันดับ 6 Chrysanthemum หรือดอกเบญจมาศถ้าอยากรู้ว่าดอกเบญจมาศชนิดไหนมีพิษ เค้าว่าให้ดูที่เข้ามากินแต่ถ้าโดนเข้าไป อาจจะทำให้ผิวหนังไหม้

อันดับ 7 Oleander ทุกส่วนของต้นไม้นี้เป็นพิษหมดแค่เผลอสูดควันที่เราเผามันเข้าไป ก็เจออันตรายแล้ว

อันดับ 8 Ficus มียางที่มีพิษเหลือร้ายถ้าหากว่ายางของมันโดนผิวเข้าละก็ จะเจ็บปวดมาก





วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 18, 2553

6 สมุนไพร ใช้เยียวยาอาการเลือดกำเดาไหล


1. ใบพลู นำใบพลูมา 1 ใบ แล้วม้วนให้เหมือนม้วนบุหรี่ จากนั้นขยี้ปลายข้างหนึ่ง แล้วนำส่วนที่ขยี้สอดเข้าไปในรูจมูกที่เลือดกำเดาไหล ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เลือดกำเดาจะหยุดไหล เพราะใบพลูมีสรรพคุณในการสมานแผลได้ดี

2. น้ำมะนาว บีบน้ำมะนาวครึ่งลูกผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว จากนั้นเติมเกลือครึ่งช้อนชา และน้ำตาลไม่ขัดขาว 1 ช้อนโต๊ะ ชงดื่มวันละแก้ว ก่อนอาหาร วิตามินซีจะช่วยแก้อาการเลือดออกตามไรฟัน ลักปิดลักเปิด และเลือดกำเดาไหลได้

3. รากต้นข้าว ใช้รากข้าวที่เกี่ยวแล้ว 1 ต้น ถอนตั้งแต่รากขึ้นไปประมาณ 1 คืบ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า - เย็น ช่วยห้ามเลือดกำเดาไหล

4. รากต้นฝรั่ง ใช้รากต้นฝรั่ง 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ต้มกับน้ำ 1 ลิตรจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหาร เช้า – เย็น

5. รากหัวไชเท้า ใช้รากหัวไชเท้าหนักประมาณ 15 กรัม ล้างน้ำให้สะอาด ตำหรือคั้นเอาแต่น้ำ จากนั้นใช้น้ำที่คั้นได้หยอดเข้าทางจมูกข้างที่มีเลือดไหล 1 - 2 หยด หัวไชเท้ามีสรรพคุณสมานแผลและห้ามเลือดได้

6. รากไพล ใช้รากไพล 7 ราก ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้ละเอียด หลังจากนั้นใส่น้ำเปล่า 3 หยด ขยี้ให้เข้ากัน กรองเอาแต่น้ำ หยอดน้ำรากไพลในรูจมูกข้างที่เลือดไหล ไพลมีสรรพคุณช่วยแก้เลือดกำเดาไหลและฆ่าเชื้อ

สมุนไพรพื้นบ้านสรรพคุณล้นเหลือ ยังไงก็ลองนำไปใช้ดูนะคะ อีกอย่างของที่มาจากธรรมชาติ รับรองว่าไม่ผลข้างเคียงแน่นอนค่ะ





วันอังคาร, พฤศจิกายน 16, 2553

ทำไมจึงต้องกวดวิชา


ในปัจจุบันนี้ เด็กที่เรียนหนังสือตามโรงเรียนต่างๆ ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนในชั้นเรียนปกติ และเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์เรียนวิชาต่างๆ ที่โรงเรียนเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้ หรือที่ผู้ปกครองพาเด็กไปเรียนเพิ่มเติมเองอีกมากมาย เช่น เรียนภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น ร้องเพลง เต้นบัลเลต์ เรียนการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เรียนฝึกพูด ฯลฯ เด็กบางคนต้องเรียนทุกวันเลยค่ะ และพอสอบถามดูปรากฏว่า เด็กหลายคนเป็นเด็กที่ไม่ได้เรียนย่ำแย่ หรือได้เกรดต่ำแต่ประการใด ทั้งนี้ผู้เขียนได้รวบรวมเหตุผลต่างๆ ที่ทำให้เด็กไป โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษ ดังนี้


1.เรียนอ่อนไม่ทันเพื่อนจริงๆ


2.กลัวแข่งขันกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เรียนพิเศษไม่ได้ ต้องสร้างความมั่นใจ


3.เก่งอยู่แล้ว...แต่อยากเก่งที่ซู้ด


4.สนใจอยากเรียนวิชาต่างๆ เหล่านั้นเพิ่มเติมเอง


5.ผู้ปกครองไม่มีเวลาอบรมดูแล จึงส่งมาไว้ที่โรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษต่างๆ โดยหวังว่าเด็กจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และมีครูที่โรงเรียนคอยดูแล


6.เด็กอยู่บ้านเฉยๆ เลยเบื่อ สู้ไปโรงเรียนกวดวิชา และโรงเรียนพิเศษไม่ได้ จะได้เจอเพื่อนฝูง


จะเห็นได้ว่าจากเหตุผลทั้ง 6 ประการดังกล่าวนี้เป็นเหตุผลที่จำเป็นจริงๆ อยู่เพียง 3 เหตุผลเท่านั้น คือ
เรียนไม่ทัน อยากส่งเสริมทักษะความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เด็กสนใจเป็นพิเศษ และอยากเก่งที่สุดในสาขาที่เก่งอยู่แล้ว นอกนั้นเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาและเหตุผลทางสังคมเสียมากกว่า ทำให้ผู้ปกครองหลายคนต้องขวนขวายหาสตางค์มาส่งเสียให้ลูกเรียนทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น เด็กบางคนพอลงจากรถก็ไม่ได้เดินเข้าโรงเรียนกวดวิชาหรอกนะคะ แต่ไปเดินเที่ยวเตร็ดเตร่ กินขนม ดูหนัง เห็นแล้วเสียดายสตางค์แทน แต่แค่เที่ยวเตร่ไม่เรียนก็ยังพอทน บางรายที่เป็นวัยรุ่นก็คบเพื่อนต่างเพศเดินโอบกอดกัน หรือแอบสูบบุหรี่ในซอยที่ลับตาคน แบบนี้แหละที่เห็นแล้วกลุ้มใจแทนผู้ปกครอง เสียทั้งเงินและอาจจะต้องเสียอนาคตของลูกหลานด้วย


การแก้ปัญหาเรื่องการศึกษา
และการใช้เวลาว่างของเยาวชนในบ้านเราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างผู้ปกครองและสถาบันการศึกษา คำว่าสถาบันการศึกษาไม่ได้หมายความถึงเฉพาะโรงเรียนที่เด็กสังกัดอยู่เท่านั้น แต่หมายถึงสถาบันการศึกษาทุกแห่งที่มีส่วนรับผิดชอบในการสร้างเยาวชนของชาติให้มีความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม และพลานามัยที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำตัวเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้


ทุกวันนี้สังคมบ้านเรามุ่งเน้นการแข่งขันชิงเด่นเป็นที่ 1 มากเกินไป
ทำให้โรงเรียน ผู้ปกครอง และเด็ก มีค่านิยมที่ต้องแข่งขันมากเกินความพอดี กล่าวคือ เกิดความเครียด ความกลัวว่าตัวเองจะเก่งไม่พอ จะสู้ไม่ได้ จนต้องเรียนอะไรต่อมิอะไรอยู่ตลอดเวลาจนขาดสมดุลของชีวิต ชีวิตเด็กที่มีคุณภาพคือ มีชั่วโมงเรียน ชั่วโมงเล่น ชั่วโมงพักผ่อน ชั่วโมงอยู่กับครอบครัว ชั่วโมงเรียนรู้โลกเพื่อเข้าสังคมและรู้จักโลกในมุมกว้าง และชั่วโมงเรียนรู้ศีลธรรมจรรยาบรรณ


วันพุธ, พฤศจิกายน 10, 2553

ประโยชน์ของฟักทอง


หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน.....

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้

ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน