วันศุกร์, พฤษภาคม 28, 2553

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน

ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7 ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ



1. ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า
2.ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ ๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
3.ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น
วันวิสาขบูชา จึงนับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหาที่สุดมิได้ การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จุดมุ่งหมายในการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา เพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 20, 2553

ผลไม้ล้างพิษ


ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทานเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้นอาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษและวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ
>>แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย

สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้งทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่าแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาดทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อยนอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะเนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดมดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

> >>> >>สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูงเอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะและช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหารช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมู

มะละกอ มะม่วง แตงโม :> >>มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อยผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหารดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลินทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารเชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ดหากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามินผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วยอย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ

วันศุกร์, พฤษภาคม 14, 2553

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า


ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า (Momypedia)
อาหารทะเลหรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า “ซีฟู้ด” ที่รวมเอาของอร่อยจากท้องทะเลหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึก ซึ่งหลายคนหลงใหลติดใจในรสชาติกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อ๊ะ อ๊ะ…อย่าเพิ่งดูถูกคิดว่า ซีฟู้ดมีความอร่อยเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะว่าไปแล้วคุณค่าและประโยชน์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวนี่ต่างหากที่เป็นไม้เด็ดทำเอาใครต่อใครติดใจหลงรักเข้าเต็มเปา
อาหารทะเลนอกจากจะเป็นโปรตีนชั้นดีแล้ว ยังมีความพิเศษตรงที่มีแร่ธาตุสำคัญอย่าง ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 ,บี 2 และบี 6 อีกด้วย
เนื้อปลา
เป็นพระเอกในหมู่อาหารทะเลทั้งมวล เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไร้คาร์โบโฮเดรต แถมมากวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลานุ่ม ๆ หรือปลาเล็กปลาน้อยกรุบกรอบ ล้วนเหมาะกับคนทุกเพศวัย เลือกอร่อยกันได้อย่างสบายใจเลย
กุ้ง
กุ้งสด กินแล้วให้โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต บำรุงร่างกายสดชื่นให้แข็งแรง แต่ถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่กินได้ทั้งตัวพร้อมเปลือก จะยิ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแกร่ง เหมาะกับว่าที่คุณแม่ รวมถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่กลัวโรคกระดูกพรุนถามหาเป็นอันมาก
ปลาหมึก
เป็นแหล่งโปรตีนมีแร่ธาตุไม่น้อยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เนื้อขาวๆ ของปลาหมึกมีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่ กินบ่อยๆ คงไม่ไหว แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งพอให้หายคิดถึง น่าจะกำลังดีจ้ะ
ปู-หอย
ในเนื้อปูเนื้อหอยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมไปถึงวิตามินที่มีประโยชน์ ทว่าคาร์โบโฮเดรตที่มีอยู่ร้อยละ 2 ในตัวอาจเป็นอุปสรรคทำให้ตามใจปากกินมากๆ ไม่ได้ เผลอใจกินเข้าไปเยอะน้ำหนักขึ้นอ้วนได้ง่ายๆ เลยเชียวนะ
-สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เมื่อกินอาหารทะเล คือ ความสดและความสะอาด ยิ่งสดยิ่งอร่อย ยิ่งสะอาดยิ่งปลอดภัย อย่าลืมซิคะว่าอาหารทะเลมักจะมีแบคทีเรียปนเปื้อนมากับผิว เปลือก หรือกระดองได้ เพื่อความมั่นใจไม่อยากเสี่ยงกับอาการท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เพราะอาหารทะเลทำพิษแล้วละก็ ต้องล้างผิว แปรงเปลือกหรือกระดอง ให้สะอาดก่อนเพื่อขจัดแบคทีเรียที่มีอยู่ไปส่วนหนึ่ง
-ส่วนกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียไปได้ถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คราวนี้คุณก็จะอร่อยกับซีฟู้ดจานโปรดได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ไอโอดีน…สำคัญใช่ย่อย!
ในอาหารทะเลมีไอโอดีนอยู่ถึง 54 ไมโครกรัมต่ออาหารที่กินได้ 100 กรัม ซีฟู้ดจึงเป็นแหล่งไอโอดีนที่สำคัญของทุกๆ คน แม้ว่าปริมาณแร่ธาตุที่ชื่อว่าไอโอดีนที่ร่างกายต้องการจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขาดได้ไม่เพียงพอขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้อย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดโรคคอพอก สมองทำงานไม่ปกติ มีพัฒนาการและเรียนรู้ช้า หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ” และถ้าขณะอุ้มท้องอยู่แม่ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป ลูกในท้องก็ไม่ค่อยเติบโตและเสี่ยงกับการพิการ หูหนวก เป็นใบ้ ปัญญาทึบได้อีกด้วย
***ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราจึงควรทานอาหารทะเลอย่างน้อยอาทิตย์ 2-3ครั้ง และใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารเป็นประจำค่ะ***