วันศุกร์, มิถุนายน 25, 2553

กินอะไรดีที่ช่วยให้สดชื่นได้

น้ำดื่ม ปัจจัยหลักของการดำรงชัวิตที่เดียว การดื่มน้ำมาก จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น โดยเฉพาะเวลาหน้าร้อน การดื่มน้ำบ่อยกว่าเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายเดิมจะช่วยได้มาก เพราะร่างกายจะขาดน้ำง่ายกว่าปกติ ยิ่งถ้าเป็นน้ำที่มีรสชาติอย่างน้ำผลไม้ หรือน้ำโซดากลิ่นผลไม้ก็จะช่วยได้มาก น้ำตาลที่อยู่ในน้ำจะช่วยทำให้เรามีพลังงานสดชื่นขึ้น ส่วนพวกน้ำแร่ก็ดีเช่นกัน
เครื่องดื่มหลังออกกำลังกาย หรือ Sports drinks เครื่องประเภทนี้นอกจากจะให้น้ำและพลังงานแล้ว ยังช่วยป้องกันการขาด น้ำของร่างกายด้วย และคาร์โบไฮเดรตจะให้พลังงาน มีเครื่องดื่มบางแบบที่มีโปรตีนรวมอยู่ด้วยเล้กน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้พลังงานเช่นกัน รวมทั้งทำให้หายเหนื่อยจากการออกกำลังกายได้เร็วขึ้นอีกด้วย
แตงโม เห็นเนื้อสีแดงๆ ฉ่ำๆ อย่างนี้ บอกไว้ได้เลยว่ามีน้ำและน้ำตาลเยอะ เหมาะสำหรับไว้ทานหน้าร้อนที่สุด ยิ่งเวลาเอาไปแช่ในตู้เย็นมันให้เย็นเจี๊ยบ เอามากินตอนร้อนๆ หวานอร่อยอย่าบอกใคร คนญี่ปุ่นจะชอบกินอตงโมมากๆในช่วงหน้าร้อน ในแตงโมมีปริมาณน้ำกว่า 90% แถมยังมีสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย
แตงกวา นี่สุดยอดผักที่มีน้ำเยอะมาก มากกว่าแตงโมเสียอีก คือมีน้ำอยู่ประมาณ 96 % แถมยังไม่มีแคลรี่อีกต่างหาก ถึงแม้ว่า แตงกวาอาจจะไม่ใช่ผักที่มีสารอุดมมากที่สุด แต่ก็เป็นทางเลือกที่มีน้ำอยู่มาก และมีวิตามินต่างๆ อีกด้วย เอามาใส่สลัดกินเย็นๆ แก้ร้อน อร่อยแถมได้ประดยชน์อีกด้วย
กินผักผลไม้เป็นขนมขบเคี้ยวกีกว่า

วันศุกร์, มิถุนายน 18, 2553

กินครบ 5 รส ได้ประโยชน์ครบถ้วน

คงจำกันได้กับบทเรียนเมื่อสมัยประถมที่คุณครูเคยสอนว่า ลิ้นของเรามีตุ๋มรับรสอยู่ 5 รส ด้วยกันคือเปรี้ยว หวาน เด็มเผ็ด ขม รสทั้ง 5 รสนี้หากผสมรวมกันอย่างพอเหมาะก็จะทำให้เกิดเป็นรสอร่อยขึ้นมาได้ อีกทั้งรสชาติและละรสนี้ก็ยังมีคุณประโยชน์ต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายต่างกันออกไปด้วย

อาหารรสหวาน เช่น ความหวานจากน้ำผึ้งและผลไม้ต่างๆ นั้นมีประโยชน์ต่อระบบย่อยและการทำงานของม้ามช่วยเสริมการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต แต่ถ้ากินหวานมากเกินไปก็ทำให้อ้วนและเสี่ยงต่อโรคเบาหมาน อาหาร รสเค็ม เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม จัช่วยให้ลำใส้ดูดซึมดี แต่ถ้ากินเค็มมากไปก็จะทำให้เสี่ยงต่อโรคไตได้
อาหารรสเปรี้ยวจากผลไม้ต่างๆ มีประโยชน์ต่อตับและถุงน้ำดี ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น แต่กินเปรี้ยวมากไปกระเพราะอาหารอาจระคายเคืองได้ อาหารรสขมจากพืชผักต่างๆ มีประโยชน์ต่อหัวใจ ช่วยในการทำงานของระบบย่อยและดูดซึมสารอาหาร รวมไปถึงระบบขับถ่ายของเสีย ส่วนอาหารรสเผ็ดอย่างพริก ขิง กระเทียม ก็จะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร ช่วยขับสารพอษ และช่วยให้ระบบไหลเวียนคล่องตัวขึ้น แต่กินมากไประวังเป็นกระเพราะอาหารได้

วันศุกร์, มิถุนายน 04, 2553

11 อ. เพื่ออายุยืนยาว


ประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น 6.3 ล้านคนในอีก 6 ปีข้างหน้า และปัจจุบันคนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น คือ ผู้หญิง 70 ปี และผู้ชาย 68 ปี
แต่พออายุถึงวัย 50 บางคนก็ดูทำอะไรช้าลง ระวังตัวมากขึ้น ไม่ค่อยมีความสดชื่น ความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ในตัว ในขณะที่อีกหลายๆ คน ทั้งที่อายุเลย 60 มาแล้ว แต่ก็ยังสดชื่นอยู่ ดูเป็นหนุ่มใหญ่ สาวใหญ่มาดดี มีเสน่ห์ และยังดูสนุกสนานกับสิ่งข้างๆ รอบตัว ดูมีคุณภาพชีวิตที่ดี
คุณภาพชีวิตที่ดี มีหัวใจสำคัญ 4 อย่าง


1.ร่างกายที่แข็งแรง (Biological)
2.จิตใจที่มีความสุข (Phychological)
3.วิญญาณ หรือความภาคภูมิใจในตัวเอง
4.สังคมดีๆ ที่อยู่รอบตัว (Social) เช่น ลูก หลาน ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ รอบตัว

การปฏิบัติตน อย่างง่ายๆ ตามหลัก 11 อ.

1. อาหาร
ระยะอายุ 50 ปีเป็นวัยที่ควรจะช่วยประคับประคองการทำงานของเซลล์นับล้านๆ เซลล์ที่อยู่ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างปกติ เพราะวัยนี้มีการเสื่อมถอยของระบบการทำงานในอวัยวะทุกระบบ และระบบการเผาพลาญอาหาร (metabolism) ดังนั้นควรลดปริมาณอาหารลง ให้สัมพันธ์กับการใช้พลังงานจริงคือประมาณ 1,500 กิโลแคลลอรี่ต่อวัน และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผัก และผลไม้วันละ 5 จานเล็ก
2.อากาศ
ถ้าได้ออกซิเจนที่ดีจากพื้นที่ดปร่งอย่างเช่น ในสวนสาธารณะตอนเช้าๆ จะทำให้เลือดที่สูบฉีดไปเลี้ยงร่างกายมีปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอทำให้เซลล์มีคุรภาพส่งผลให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ควรอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ไอเสียจากรถยนต์หรือโรงงาน ตลอดจนสียงดังจากเครื่องยนต์ต่างๆ โดยอาจจะมีการปลูกต้นไม้รอบๆ บ้านและสร้างรั้วที่มิดชิด

3. ออกกำลังกาย
ช่วยทำให้คงสภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ ข้อต่อต่างๆ และทำให้การสูบฉีดเลือดไหลเวียน (Blood Circulation) ไปเลี้ยงร่างกาย และเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจได้อย่างดี ทำไห้ร่างกาย และหัวใจทำงานได้อย่างราบรื่น
ผู้สูงอายุควรออกกำลังการอย่างสม่ำเสมอทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที
4. อนามัย
- ไม่สูบบุรี่ เนื่องจากวัยเสื่อมถอย การสูบบุรี่จะทำให้ถุงลมปอดทำงานได้ไม่เต็มที่เนื่องจากมีคราบนิโคติน และสารพิษอื่นๆ ที่ปนเปื้อนอยู่ในบุหรี่ไปเกาะติดในหลอดลม และถุงลมปอด
- ไม่ดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ ตลอดจนยาเสพติดประเภทต่างๆ
- สังเกตอาการผิดปกติของร่างกายและจิตใจวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าสังเกตพบความผิดความปกติในระยะเริ่ใต้น จะทำให้การรักษาได้ผลดี
- ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ
5. (แสง)อาทิตย์
การรับแสงแดดอ่อน ในตอนเช้า เพื่อให้ได้รับวิตามินดีอย่างเพียงพิ จะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสของร่างกาย สามารถป้องกันและซะลอการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
6. อารมณ์
ผู้สูงอายุจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เช่น หงุดหงิด โมโหโกรธง่าย ทำให้ขาดสติในการพิจารณาไตร่ตรองเหตุผล ต่อให้เกิดความขัดแข้งกับบุคคลอื่นได้ง่าย ต้องหาวิธีในการควบคุมอารมณ์ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การทำสมธิ การศึกษาธรรมะ จะช่วยให้เกิดอาการผ่อนคลาย มีสติมากขึ้น
7. อดิเรก
ผู้สูงอายุควรหางานอดิเรกทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือลดการหมกหมุ่นในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
8. อบอุ่น
การเป็นบุคคลที่มีบุคคลิกโอบอ้อม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้การช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวและบุคคลอื่น เพื่อให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
9. อุจจาระ / ปัสสาวะ
ถ้ามีปัญหาเรื่องท้องผูก ส่งผลให้มีสารพิษตกค้างในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้ถ้าเป็นบ่อยๆ การป้องกันการเกิดท้องผูก โดยการรับประทานอาหารผักผลไม้ดื่มากๆ และออกกำลังกายอบ่างสม่ำเสมอ ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยการบริการกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราย เช่น การขมิบก้น และช่องคลอด
10. อุบัติเหตุ
ระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุโดยวิธีการต่างๆ เช่น สายตายาวต้องใส่แว่นสายตา หูได้ยินไม่ชัดเจนต้องไปตรวจเพื่อแก้ไข สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมต้องไปปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
11. อนาคต
จะต้องมีการเตรียมเงินและที่อยู่อาศัย เพื่อเป็นหลักประกัน ในการดำเนินชีวิตเมื่อเข้าสู่วัยอายุ
หลักการปฏิบัติตัวง่ายๆ เพื่อความพร้อมในการก้าวเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ เท่านี้ก็สามารถเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้แล้ว

วันศุกร์, พฤษภาคม 28, 2553

วันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน

ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7 ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ



1. ประสูติ เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ ลุมพินีสถาน เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ตรงกับวันศุกร์ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีจอ ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางได้รับพระบรมราชานุญาต จากพระสวามี ให้แปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ ซึ่งเป็นพระนครเดิมของพระนาง เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ครั้นพระกุมารประสูติได้ ๕ วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ออกบวช จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณอันประเสริฐสูงสุด) สำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงถือว่าวันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธเจ้า
2.ตรัสรู้ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนุตตรสัมโพธิญาณ ณ ร่มพระศรีมหาโพธิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี การตรัสอริยสัจสี่ คือของจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ของพระพุทธเจ้า เป็นการตรัสรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีผู้เสมอเหมือน วันตรัสของพระพุทธเจ้า จึงจัดเป็นวันสำคัญ เพราะเป็นวันที่ให้เกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นในโลกชาวพุทธทั่วไป จึงเรียกวันวิสาขบูชาว่า วันพระพุทธ(เจ้า) อันมีประวัติว่า พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรต่อไป ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ทรงเริ่มบำเพ็ญสมาธิให้เกิดในพระทัย เรียกว่าการเข้า "ฌาน" เพื่อให้บรรลุ "ญาณ" จนเวลาผ่านไปจนถึง ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุติญาณ" คือทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่น ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือการรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ยามสาม : ทรงบรรลุ "อาสวักขญาณ" คือรู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจสี่ ( ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งขณะนั้น พระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา
ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ อริยสัจ ๔ หรือ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ทุกข์ คือ ความลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ๒. สมุทัย คือ เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ๓. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ และ ๔. มรรค คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ ทั้ง ๔ ข้อนี้ถือเป็นสัจธรรม เรียกว่า อริยสัจ เพราะเป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าทรงค้นพบ เป็นสัจธรรมชั้นสูง ประเสริฐกว่าสัจธรรมสามัญทั่วไป
3.ปรินิพพาน เป็นวันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ ร่มไม้รัง (ต้นสาละ) คู่ ในสาลวโนทยานของมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา เมื่อวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๑ ปี วันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป) การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ก็ถือเป็นวันสำคัญของชาวพุทธทั่วโลกเพราะชาวพุทธทั่วโลกได้สูญเสียดวงประทีป ของโลก เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญชาวพุทธทั่วไปมีความเศร้าสลด เสียใจและอาลัยสุดจะพรรณนา อันมีประวัติว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมมาเป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี ซึ่งมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสุกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวาย ก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีนั้น ได้มีปริพาชกผู้หนึ่ง ชื่อสุภัททะขอเข้าเฝ้า และได้อุปสมบทเป็นพระพุทธสาวกองค์สุดท้าย เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้ บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน ๖ นั้น
วันวิสาขบูชา จึงนับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ ที่มีต่อปวงมนุษย์และสรรพสัตว์อันหาที่สุดมิได้ การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา จุดมุ่งหมายในการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชา เพื่อรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณพระปัญญาคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๓ ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ

วันพฤหัสบดี, พฤษภาคม 20, 2553

ผลไม้ล้างพิษ


ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทานเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้นอาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษและวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ
>>แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย

สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้งทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่าแอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาดทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อยนอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วย

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะเนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดมดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

> >>> >>สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูงเอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะและช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหารช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมู

มะละกอ มะม่วง แตงโม :> >>มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อยผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปนซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหารดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลินทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหารเชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ดหากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมงจะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุดเนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามินผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วยอย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยวหรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ

วันศุกร์, พฤษภาคม 14, 2553

ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า


ซีฟู้ดอาหารมากคุณค่า (Momypedia)
อาหารทะเลหรือที่นิยมเรียกกันติดปากว่า “ซีฟู้ด” ที่รวมเอาของอร่อยจากท้องทะเลหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู ปลา และปลาหมึก ซึ่งหลายคนหลงใหลติดใจในรสชาติกันอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว อ๊ะ อ๊ะ…อย่าเพิ่งดูถูกคิดว่า ซีฟู้ดมีความอร่อยเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าจะว่าไปแล้วคุณค่าและประโยชน์ซึ่งซุกซ่อนอยู่ในตัวนี่ต่างหากที่เป็นไม้เด็ดทำเอาใครต่อใครติดใจหลงรักเข้าเต็มเปา
อาหารทะเลนอกจากจะเป็นโปรตีนชั้นดีแล้ว ยังมีความพิเศษตรงที่มีแร่ธาตุสำคัญอย่าง ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมถึงวิตามินบี 1 ,บี 2 และบี 6 อีกด้วย
เนื้อปลา
เป็นพระเอกในหมู่อาหารทะเลทั้งมวล เนื่องจากเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ไร้คาร์โบโฮเดรต แถมมากวิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลานุ่ม ๆ หรือปลาเล็กปลาน้อยกรุบกรอบ ล้วนเหมาะกับคนทุกเพศวัย เลือกอร่อยกันได้อย่างสบายใจเลย
กุ้ง
กุ้งสด กินแล้วให้โปรตีน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต บำรุงร่างกายสดชื่นให้แข็งแรง แต่ถ้าเป็นกุ้งฝอยหรือกุ้งแห้งที่กินได้ทั้งตัวพร้อมเปลือก จะยิ่งอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแกร่ง เหมาะกับว่าที่คุณแม่ รวมถึงสาวน้อยสาวใหญ่ที่กลัวโรคกระดูกพรุนถามหาเป็นอันมาก
ปลาหมึก
เป็นแหล่งโปรตีนมีแร่ธาตุไม่น้อยเช่นกัน แต่ด้วยความที่เนื้อขาวๆ ของปลาหมึกมีคาร์โบไฮเดรตและคอเลสเตอรอลอยู่ กินบ่อยๆ คงไม่ไหว แค่อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งพอให้หายคิดถึง น่าจะกำลังดีจ้ะ
ปู-หอย
ในเนื้อปูเนื้อหอยมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก รวมไปถึงวิตามินที่มีประโยชน์ ทว่าคาร์โบโฮเดรตที่มีอยู่ร้อยละ 2 ในตัวอาจเป็นอุปสรรคทำให้ตามใจปากกินมากๆ ไม่ได้ เผลอใจกินเข้าไปเยอะน้ำหนักขึ้นอ้วนได้ง่ายๆ เลยเชียวนะ
-สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้เมื่อกินอาหารทะเล คือ ความสดและความสะอาด ยิ่งสดยิ่งอร่อย ยิ่งสะอาดยิ่งปลอดภัย อย่าลืมซิคะว่าอาหารทะเลมักจะมีแบคทีเรียปนเปื้อนมากับผิว เปลือก หรือกระดองได้ เพื่อความมั่นใจไม่อยากเสี่ยงกับอาการท้องร่วง คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ต่ำๆ เพราะอาหารทะเลทำพิษแล้วละก็ ต้องล้างผิว แปรงเปลือกหรือกระดอง ให้สะอาดก่อนเพื่อขจัดแบคทีเรียที่มีอยู่ไปส่วนหนึ่ง
-ส่วนกุ้งถ้าจะเก็บให้เด็ดหัวทิ้งก่อนแช่แข็งจะช่วยลดแบคทีเรียไปได้ถึงเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว คราวนี้คุณก็จะอร่อยกับซีฟู้ดจานโปรดได้อย่างปลอดภัยแล้ว
ไอโอดีน…สำคัญใช่ย่อย!
ในอาหารทะเลมีไอโอดีนอยู่ถึง 54 ไมโครกรัมต่ออาหารที่กินได้ 100 กรัม ซีฟู้ดจึงเป็นแหล่งไอโอดีนที่สำคัญของทุกๆ คน แม้ว่าปริมาณแร่ธาตุที่ชื่อว่าไอโอดีนที่ร่างกายต้องการจะน้อยมาก แต่ถ้าเกิดขาดได้ไม่เพียงพอขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดปัญหากับสุขภาพได้อย่างมากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะทำให้เกิดโรคคอพอก สมองทำงานไม่ปกติ มีพัฒนาการและเรียนรู้ช้า หรือที่เรียกว่า “โรคเอ๋อ” และถ้าขณะอุ้มท้องอยู่แม่ได้รับไอโอดีนน้อยเกินไป ลูกในท้องก็ไม่ค่อยเติบโตและเสี่ยงกับการพิการ หูหนวก เป็นใบ้ ปัญญาทึบได้อีกด้วย
***ฉะนั้นเพื่อสุขภาพที่ดีเราจึงควรทานอาหารทะเลอย่างน้อยอาทิตย์ 2-3ครั้ง และใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหารเป็นประจำค่ะ***

วันอาทิตย์, เมษายน 11, 2553

17 วิธีรักษาสุขภาพ ช่วงหน้าร้อน


1. ป้องกันอาการขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำเปล่าที่สุกแล้ว หรือแบบปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือแร่ สมุนไพร เยอะๆ เพราะหน้าร้อน ร่างกายภายในจะมีอุณหภูมิสูง และขับเหงื่อออกมามาก จนอาจทำให้คุณช็อกหมดสติ

2. หลีกเลี่ยงน้ำแข็งหรือน้ำเย็นจัด เพราะอาจทำให้อุณหภูมิในร่างกายเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่สบาย

3. ไม่ควรนอนให้ลมหรือความเย็นโกรก ความร้อนจากแดดทำให้เสียเหงื่อ เสียพลัง เมื่อนอนหลับตากลมในขณะเหงื่อออก จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลง ถ้าอุณหภูมิภายนอกยังสูงอยู่ แล้วเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ จะมีความร้อนสะสมอยู่ข้างใน ทำให้เวียนหัว รู้สึกหนักหัว ไม่สดชื่นแจ่มใส อาจทำให้เป็นหวัดได้

4. อย่างดอาหารเช้า เพราะร่างกายต้องการอาหารเพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญ ซึ่งจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง ของทอด ของมัน

5. หญิงตั้งครรภ์ ต้องสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เพื่อป้องกันการกระทบกับความเย็น อาหารที่กินต้องสะอาด ไม่ควรนอนบนสื่อที่เย็น และห่มผ้าคลุมกายเสมอ ระวังอย่าให้เป็นหวัด ห้ามอาบน้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดจนเกินไป

6. คนสูงอายุมักมีระบบย่อยที่ไม่ดี และคนที่มีม้ามบกพร่อง ถ้าดื่มน้ำเย็นมากเกินไป จะเกิดความชื้นสะสมในร่างกาย ทำให้ท้องเสีย ติดเชื้อราง่าย ขี้หนาว ปวดหัว ตัวร้อน

7. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Mexoryl และ Tinosorb เพราะสามารถกรองรังสียูวีเอ และยูวีบี ได้ดี เช่น Vichy, Nivea และ Ambre Solaire จาก Garnier

8. หากผิวแสบร้อนจากการโดนแดด บรรเทาได้ด้วยการกินยาแอสไพริน แล้วแช่ตัวในอ่างน้ำอุณหภูมิห้อง ผสม Bath Oil จากนั้นบำรุงผิวด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ และหลีกเลี่ยงแดดในวันถัดไป

9. ทำสเปรย์บรรเทาผิวไหม้เกรียมอย่างง่ายๆ ด้วยน้ำกรองบริสุทธิ์ 2 ออนซ์ ใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นลาเวนเดอร์ 9 หยด กลิ่นเปปเปอร์มินต์ 2 หยด และสเปียร์มินต์ 1 หยด ผสมรวมกันแล้วใส่ในขวดสเปรย์ พกติดตัวและฉีดพรมเมื่อมีอาการ

10. เลือกเครื่องสำอางแบบครีม ที่มีเนื้อแห้งเหมือนแป้ง หากหน้ามันปัดทับด้วยบรอนเซอร์หรือแป้งฝุ่น

11. ควรเลือกใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาสบาย ระบายอากาศได้ดีอย่างผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่หลวมกระชับตัว

12. หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้น้ำตาลสูง อย่างอาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต และผลไม้รสหวานจัด เพื่อควบคุมระดับพลังงานที่มากเกินไป จนส่งผลต่ออุณหภูมิสูงจากภายในของร่างกาย

13. ป้องกันแมลงกัดต่อย ซึ่งมีชุกชุมในฤดูร้อน ด้วยการเลือกทาผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ

14. เลือกแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ที่ให้การปกปิดมิดชิดกระชับใบหน้า เพื่อป้องกันรังสียูวีบี จากการเกิดต้อกระจกในดวงตา และผิวไหม้เกรียม ริ้วรอยรอบดวงตา

15. อย่าเข้าใจผิดว่ายิ่งเข้มยิ่งดี สีของเลนส์ในแว่นกันแดดไม่ได้ช่วยในการปกป้องรังสี เพราะประสิทธิภาพสำคัญเกิดจากสารเคมีที่เคลือบเพื่อสะท้อนรังสี

16. คอนแทคเลนส์ไม่ช่วยอะไร โดยเฉพาะรุ่นที่เคลมว่าสามารถดูดซับรังสีได้ เพราะอย่างไรก็ด้อยประสิทธิภาพกว่าแว่นกันแดด ดังนั้นจึงไม่อาจใช้แทนกันได้

17. ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่น่าเลือกมากที่สุดในปัจจุบัน ควรมีคุณสมบัติบางเบา ซึมซาบไว ติดทนนาน และมีส่วนผสมของสารประกอบจากไทเทเนียม หรือซิงค์ออกไซด์