วันพุธ, ธันวาคม 30, 2552

Moi-Même

- Je suis dynamique , sociable , curieuse , ambitieuse et confiante

- Je n'aime pas les gens qui sont agressive , nerveuse , capricieuse , sensible et timide

- Je suis dynamique , ambitieuse et curieuse

วันเสาร์, ธันวาคม 19, 2552

ทานอย่างไรให้ปลอดภัยทุกมื้อ

ส่วนใหญ่คนเรามักให้ความสำคัญกับความเอร็ดอร่อยจนลืมระวังผลเสียที่จะส่งผลกระทบ ต่อร่างกายในภายหลัง บางคนอาจไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าร่างกายของเราจะสามารถรับอาหารเหล่านั้นได้ มากน้อยเพียงใด ทั้งที่อาหารนานาชนิดนั้นมีประโยชน์แต่ก็มักจะแฝงโทษไว้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกโปรตีนและไขมันบางชนิด อย่างเช่น อาหารโปรตีนที่มีมันติดหนังเป็นอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยถูกคอถูกลิ้นนัก กินอย่างยิ่ง เช่น เมนูนักชิมยกนิ้ว อย่างสะโพกไก่ปิ้ง ย่าง อบ ทอด หมูหันที่มีหนังบางกรอบ เนื้อติดไขมันเป็นชั้นๆ หรือสเต็กเนื้อติดมันราดซอสครีมก็ล้วนซ่อภัยไว้ในรสชาติอร่อยได้ทั้งนั้น

อาหารที่มีโปรตีนสูงอีกหลายชนิด เช่น สมอง เครื่องในสัตว์ต่างๆ เหล่านี้ จะมีกรดยูริกสูง ซึ่งกรงดชนิดนี้จะเข้าไปสะสมตามข้อต่อต่างๆ ของร่างกายทั่วตัว เมื่อสะสมไว้มากเข้ากรดจะตกผลึก ผลึกเหล่านั้นจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับหนึ่งก็จะแตก ความเป็นกรดจะละลายออกมาทำให้เนื้อบวม สร้างความเจ็บปวดทรมาน ซึ่งทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า "โรคเกาต์"

ส่วนอาหารไขมันสูงต่างๆ ทำให้ความอร่อยทั้งหลายกลายเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย อันดับแรกคือโรคความดันโลหิตที่เคยปกติจะมีระดับสูงขึ้นเนื่องจากร่างกาย ต้องการโลหิตเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงไขมันที่เพิ่มขึ้น เมื่อปริมาณโลหิตที่ต้องการมากขึ้นความดันจึงต้องมากขึ้นเป็นเงาตามตัวอาการ ทีมักตามมาได้แก่เส้นโลหิตซึ่งเป็นทางลำเลียงโลหิตเข้าหล่อเลี้ยงสมองและ หัวใจจะอุดตันด้วยไขมันหากวันใดที่โลหิตเข้าไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ไม่ทัน ผลทางร่างกายที่เกิดขึ้นนั้นก็จะเริ่มตั้งแต่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต พิการ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้หากแก้ไขไม่ทัน
ดังนั้น หากรักสุขภาพของเราเองจึงควรเลือกทานอาหารให้เหมาะกับความต้องการของร่างกาย และรักษาระดับการทานไม่ให้มากจนเกินไป เพื่อรักษาชีวิตไว้ให้นานเท่าที่จะนานได้ แต่หากว่าเรามีนิสัยการทานแบบทานทุกอย่างที่ขวางหน้าแล้วก็เท่ากับว่าเรา กำลังทำร้ายตัวเองอย่างช้าๆ และนำพาชีวิตสู่ความเจ็บป่วยโดยไม่รู้ตัว

การทานอาหารติดมันไม่ใช่ข้อห้าม ทว่า ควรเลือกทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ คือทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ในทุกมื้อ และควรทานให้เหมาะกับความต้องการพลังงานของร่างกาย ไม่มากเกินไปแต่ก็ไม่น้อยจนเกินไป ที่สำคัญอย่าเห็นแก่ความอร่อยจนลืมคุณค่าของสารอาหารในแต่ละมื้อ โดยปรกติแล้วเรามักจะได้รับอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันกันอยู่แล้ว แต่ต้องไม่บืมผักสดนานาชาติและผลไม้ซึ่งควรทานเป็นจานหลักไม้แพ้กัน และควรทานให้ได้สัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง คือ ผักครึ่งหนึ่ง รวมกับอาหารเมนูอื่นๆ ครึ่งหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะผักนั้นอุดมไปด้วยเกลือแร่ที่เสมือนเป็นทางด่วนอำนวยความสะดวกให้ร่าง กายนำพาสารอาหารอื่นๆ ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันจันทร์, ธันวาคม 14, 2552

อาหารเช้ากับการเรียน


คนส่วนใหญ่นิยมกินอาหารวันละ 3 มื้อ แต่บางคนอาจจะกินเพียงวันละ 2 มื้อ หรือมากกว่านี้ ในคนที่กินอาหารเพียง 2 มื้อ มักจะงดเว้นมื้อเช้า ด้วยเหตุผลต่างๆกัน เช่น ต้องตื่นแต่เช้าเร่งรีบไปเรียนหรือทำงาน ใช้เวลาในการเดินทางนาน ไม่มีเวลาพอ สำหรับการเตรียมอาหารเช้า และบางคนงดกินอาหารเช้าด้วยเหตุผลที่ต้องการลด น้ำหนัก การงดรับประทานอาหารมื้อเช้า จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม อาจทำให้ร่างกายได้รับ พลังงานและสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เนื่องจากกระเพาะ อาหารของคนเรามีขนาดความจุที่จำกัดสำหรับการกินอาหารแต่ละครั้งโดยเฉพาะ ในเด็กวัยเรียนซึ่งมีขนาดของกระเพาะอาหารเล็กกว่าผู้ใหญ่ ในขณะที่ความต้องการ พลังงานและสารอาหารต่อหน่วยน้ำหนักมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเป็นวัยที่ยังมีการ เจริญเติบโต จึงจำเป็นต้องกินอาหารอย่างน้อย 3 มื้อ

โดยปกติคนเราจะพักผ่อนด้วยการนอนหลับวันละประมาณ 8-12 ชั่วโมง ในช่วง เวลานี้การใช้สารอาหารต่างๆ จะยังดำเนินไปตลอดเวลา ปริมาณสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงหลังจากที่เราพักผ่อนนอนหลับ จึงจำเป็นต้อง กินอาหารเพื่อเพิ่มระดับสารอาหารในร่างกายให้อยู่ในสภาพปกติสำหรับการทำ กิจกรรมต่อไป การงดไม่กินอาหารเช้าในเด็กนักเรียน ระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำจึงพบว่า ในช่วงสายของวันเด็กจะรู้สึกหิว กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิในการเรียนขาดความฉับไว ในการคิดคำนวณหรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เกิดการผิดพลาดได้มากกว่า และผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนจะด้อยกว่าเด็กที่รับประทานอาหารเช้า ทั้งนี้เนื่องจาก สมองของคนเรา ต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อไปหล่อเลี้ยง นอกจากนี้เด็กจะไม่มีกำลัง สำหรับการเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายอีกด้วย อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่มีความสำคัญ ยิ่งสำหรับเด็กวัยเรียน และวัยรุ่น อาหารเช้าที่เหมาะสมควรประกอบด้วยอาหารที่มีโปรตีนสูงพอควรทั้งนี้เพื่อ คงสภาวะระดับน้ำตาลในเลือดของเด็กให้สูงอยู่เป็นเวลา ที่ยาวนาน จะทำให้เด็กมี ความสามารถในการเรียนรู้และประกอบกิจกรรม ที่ต้องใช้กำลังงานได้ดีขึ้น

วันจันทร์, ธันวาคม 07, 2552

ทำไมคนไทยถึงรักในหลวง





แผ่นดินที่ทรงครอง..........แผ่นดินทองแผ่นดินธรรม
คราวเข็ญเข้าครอบงำ........ทรงดับเข็ญทุกคราวครัน
เหน็ดเหนื่อยนั้นหนักนัก.....ทรงงานหนักอเนกอนันต์
วันพักเพียงสักวัน.............ก็แสนน้อยดูนานเกิน
วังทิพย์คือท้องทุ่ง............ม่านงานรุ้งคือเขาเขิน
ร้อนหนาวในราวเนิน.........มาโลมไล้ต่างรสสุคนธ์
ย่างพระบาทที่ยาตรา.........ยาวรอบหล้าฟ้าสากล
พระเสโทที่ถั่งท้น.............ถ้าไหลรวมคงท่วมไทย
หมายเหตุ:คัดลอกเพียงบางส่วนจากกาพย์เห่เรือฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
ในตอนที่ฉันยังเด็ก ทุกวันก่อนเข้านอน ย่าของฉันมักจะบอกว่า “อย่าเพิ่งนอน ดูในหลวงก่อน” เพราะช่วงเวลา 20.00 น. เป็นเวลาที่โทรทัศน์ทุกช่องจะเสนอข่าวในพระราชสำนัก ย่าจะตั้งใจดูมาก บางครั้งย่าก็ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว บางครั้งก็น้ำตาไหลดูไปยิ้มไป จนกลายเป็นภาพที่คุ้นชินตั้งแต่ยังเด็กที่ได้เห็น “ในหลวง” ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ผ่านทางโทรทัศน์ และในสมองน้อย ๆ ก็มีคำถามอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมในหลวงไม่อยู่ในวัง เหมือนที่เคยเห็นในการ์ตูน
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันเติบโตขึ้น ย่าของฉันได้เสียชีวิตลง แต่
พระราชกรณียกิจของในหลวงยังทรงดำเนินอยู่ แนวทางตามพระราชดำริยังเป็นแนวทางที่ช่วยขจัดทุกข์ให้คนไทยเสมอมา
ในปี 2549 นี้ เป็นปีเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี จึงถือว่าเป็นปีมหามงคลยิ่ง ที่คนไทยได้มีโอกาสรับรู้ถึงพระราชกรณียกิจต่าง ๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงบำเพ็ญมาตลอดระยะเวลาอันยาวนานถึง 60 ปี รวมทั้งได้มีโอกาสศึกษาและทำความเข้าใจแนวทางพระราชดำริ ผ่านนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ภายในงานจะแบ่งเป็น นิทรรศการ
พระราชประวัติ
1 . สืบราชสันตติวงศ์ แสดงให้เห็นถึงการสืบสันตติวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี ตลอดจนพระอัจฉริยภาพของพระบูรพมหากษัตริยธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชวงศ์จักรีแต่ละพระองค์
2. เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ เป็นห้องแสดงพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่เสด็จพระราชสมภพ จวบจนเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ การแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อครั้นทรงพระเยาว์ที่หาดูได้ยาก
3. พระคู่พระบารมี นำเสนอเรื่องราวเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพบ ม.ร.ว. สิริกิติ์ กิติยากร จวบจนเข้าสู่
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2493
4. พระปฐมบรมราชโองการ จัดฉายวีดีทัศน์แสดงเหตุการณ์
พระราชพีธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชพิธี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493
5. อัครศาสนูปถัมภก จัดแสดงพระราชกรณียกิจในการทรงเป็นองค์พุทธมามกะ และเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงเอื้อเฟื้อดูแลศาสนาต่าง ๆ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
6. เสด็จเยี่ยมราษฎร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น โปรดที่จะเสด็จเยี่ยมราษฎรของพระองค์มาตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ แม้ในระยะนั้น ถนนหนทางไปมายังไม่สู้สะดวกนัก
7. คนของแผ่นดิน กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ก่อตั้ง
มูลนิธิอานันทมหิดลขึ้น เพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาประเทศ
8.พระอัจฉริยภาพ จัดแสดงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านต่าง ๆ
9. เทิดไว้เหนือเกล้าชาวไทย แสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งและความจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับแนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
1. ห้อง 60 ปีภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ในโอกาสและสถานที่ต่าง ๆ
2. แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรป่าไม้ จัดจำลองป่าขนาดใหญ่ แสดงถึงโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายหลายโครงการ ทั้งในการป้องกัน การฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรม การสงวนและอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำ การทำเกษตรที่สูง การปลูกป่า ตลอดจนการให้คนกับป่าอาศัยอยู่ร่วมกัน
3. แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรน้ำ จัดแสดงศิลปะและปรัชญาการบริหารทรัพยากรน้ำในแนวคิด “จากภูผา สู่มหานที”
4. แนวคิดและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรดิน เป็นการนำเสนอถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับดิน และแนวทางตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้พระราชทานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องดิน
5.
เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ นำเสนอสาระเพื่อสื่อความหมายให้เห็นถึงอาชีพเกษตรกรรม โดยใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ พร้อมทั้งนำเสนอภาพชุมชนเล็ก ๆ ที่มีโรงเรียน มีสถานีอนามัย มีบ้านหลังเล็ก ๆ ที่แข็งแรง อันเป็นพื้นฐานของสังคมไทยแต่โบราณ อีกทั้งยังมีการแสดงมหานาฏกรรมเฉลิมพระเกียรติเรื่อง “พระมหาชนก”
60 ปีกับพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรชาวไทย จึงไม่แปลกใจเพียงสักนิดเดียวว่า ทำไมคนไทยถึงรักในหลวง

วันจันทร์, พฤศจิกายน 23, 2552

ทำไม1โหลถึงมี12ชิ้น



จำนวน 12 ในหนึ่งโหลของไทยนั้นสัมพันธ์กับระบบนับจำนวนของต่างชาติซึ่งมีคำว่า dozen (โดซเซ่น) หมายถึง 12 เช่นเดียวกัน ย้อนกลับไปหาที่มาคำว่า dozen ถือกำเนิดจากชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมียซึ่งเชื่อกันว่าเป็นชนชาติแรกที่สร้างสัญลักษณ์การนับตัวเลขในชีวิตประจำวันด้วยการเปล่งเสียงเรียก ต่อมาในช่วง 3,100 ปี ก่อนคริสตกาล ......ชาวสุเมเรียนเขียนจำนวนตัวเลขเป็นรูปลิ่ม และสร้างระบบจำนวนขึ้นมาจากฐาน 60 ซึ่งง่ายต่อการหารด้วยจำนวนต่างๆ แบ่งเป็นแฟ็กเตอร์ (ส่วนที่คูณกันขึ้นเป็นจำนวน) ได้แก่ 2, 3, 4, 5, 6, 10, 12, 15, 20, และ 30 คำว่า dozen มีความหมายมาจาก "5 ส่วนของ 60" (12 คูณ 5 เท่ากับ 60) ภาษาละตินหมายถึง 12 ขณะที่ชาวโรมันถือว่าเลข 12 เป็นเลขศักดิ์สิทธิ์ จึงนำมาสร้างระบบการนับปี แบ่งให้มี 12 เดือน ส่วนพ่อค้าแม่ขายในในสมัยโบราณก็นิยมใช้ 12 ขายของ เพราะสะดวกและแยกส่วนได้ง่ายกว่าเลข 10 และใช้เรื่อยมาจนทุกวันนี้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าว่า ในช่วงยุคกลางของอังกฤษพ่อค้าขนมปังจะต้องถูกลงโทษหนัก หากตัดขายขนมปังในน้ำหนักที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ขณะที่พ่อค้าขนมปังในยุคนั้นก็ไม่ได้มีความรู้นับจำนวนอะไร กลัวจะพลาดระหว่าง 11 ก้อนกับ 12 ก้อนจึงหันไปใช้วิธีกันเหนียว คือตัดขนมปัง 13 ก้อนเวลาที่จะขายขนมปังหนึ่งโหล กรณีนี้หนึ่งโหลเลยมี 13 ชิ้น ซึ่งไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก ส่วนนักจิตวิทยาบางคนเคยทดสอบความแตกต่างระหว่างคนที่ชอบเลข 12 มากกว่าเลข 10 ว่าเป็นคนที่ยืดหยุ่นและอ่อนโยนกว่า อันนี้ก็ฟังไว้เล่นๆ ได้ ข้อมูลจากเว็บไซต์วิกิพีเดีย ระบุว่า โหลมาจากภาษาอังกฤษว่า Dozen รากศัพท์ภาษาละตินว่า duodecim เชื่อว่าเป็นการนับเลขรวมกลุ่มแบบแรกๆ เพราะตัวเลข 12 มาจากฐานการนับรอบดวงจันทร์โคจรรอบดวงอาทิตย์ รู้จักว่าเป็นระบบจำนวนฐานสิบสอง หรือทวาทิศนิยม (duodecimal system) 12 โหลเรียกว่า 1 กุรุส (a gross) การนับโหลสะดวกสบายเพราะตัวคูณและพหุคูณคิดได้ง่าย เช่น 12 เท่ากับ 3 X 2 X 2 หรือ 360 เท่ากับ 20 X 3

วันอาทิตย์, ตุลาคม 04, 2552

ดัดฟันแฟชั่น อันตรายถึงตาย !!



แม้สาเหตุการเสียชีวิตของนักเรียนหญิงชั้น ม.5 จ.ขอนแก่น จะเกี่ยวข้องกับการจัด หรือดัดฟันแฟชั่นหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็เป็นอุทาหรณ์ให้กับวัยรุ่นทั้งหลายได้ตระหนักถึงอันตรายของความสวยงาม โก้เก๋ ที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต
นพ.ดร.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล หัวหน้าภาควิชาทันตกรรมชุมชน คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ปกติการจัดฟันจะเป็นการแก้ไขความผิดปกติของการเรียงตัวของฟัน เช่น ฟันซ้อนเก ฟันห่าง ฟันยื่น ฟันบนล่างไม่สบกัน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการบดเคี้ยวอาหาร สุขภาพของฟัน รวมทั้งเนื้อเยื่อรอบ ๆ ฟัน และยังช่วยปรับ ให้รูปลักษณะใบหน้า และการยิ้มดูดีขึ้น ผู้ให้การรักษาจะต้องเป็นทันตแพทย์เท่านั้น
การจัดฟันแฟชั่น ไม่ใช่การรักษาทางทันตกรรม แต่เป็นการพยายามใส่เครื่องมือที่เลียนแบบการจัดฟันแบบติดแน่นที่ทันตแพทย์ใช้ในการรักษาผู้ป่วย มีจุดประสงค์เพื่อความสวยงาม โก้เก๋ ทันสมัย ผู้ที่ให้บริการไม่ใช่ทันตแพทย์ ทำให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา
ในปัจจุบันจัดฟันแฟชั่น อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ ลวดร้อยลูกปัด เป็นการใช้ลวดเส้นเล็ก ๆ ร้อยลูกปัดสีต่าง ๆ มีวางจำหน่ายในตลาดนัดและแหล่งชุมชนต่าง ๆ ราคาเส้นละ 50-120 บาท เด็กและวัยรุ่นนิยมซื้อมาใส่เอง
จัดฟันแฟชั่นแบบติดแน่น เป็นการเลียนแบบการจัดฟันของทันตแพทย์ให้เหมือนมากขึ้น โดยจะมีการติดเครื่องมือ “แบ๊กเกต” เป็นโลหะรูปสี่เหลี่ยมที่มีร่องใส่ลวดจัดฟันและมีส่วนยื่นออกมาสำหรับคล้องยาง ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 800-1,200 บาท สามารถเลือกสีของยาง รูปร่างของยาง เช่น รูป ดอกไม้ มิกกี้เม้าส์
จัดฟันแฟชั่นแบบถอดได้ เป็นการใช้เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือ “รีเทนเนอร์” ที่เหมือนกับทันตแพทย์ใช้ มีลักษณะเป็นแผ่น พลาสติกปิดอยู่ที่เพดาน หรือข้างลิ้น มีลวดคอยบังคับฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ มีการดัดแปลง เพิ่มแบ๊กเกตให้ติดอยู่บนลวด ขั้นตอนการทำจะต้องมีการพิมพ์ฟัน ค่าใช้จ่ายประมาณ 800-1,300 บาทต่อชิ้น สามารถเลือกสี ลายของแผ่น พลาสติก และลวดได้
อันตรายของการจัดฟันแฟชั่น มีดังนี้
อันตรายจากขั้นตอนการทำ เครื่องมือที่ใช้ เช่น ถาดพิมพ์ฟันใช้แล้วไม่ได้ล้าง หรือล้างแต่ไม่ได้ฆ่าเชื้อ ทำให้มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อโรคที่มาจากน้ำลายของผู้ใช้บริการคนก่อน ผู้ทำไม่ได้สวมถุงมือ อาจติดโรคต่าง ๆ เช่น ไวรัสตับอักเสบบี วัณโรค ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ โปลิโอ
อันตรายจากวัสดุ ลวดจัดฟันแฟชั่นที่ใช้คุณ ภาพต่ำ มีสารปนเปื้อนที่เป็นโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว พลวง ซิลิเนียม โครเมียม และสารหนู หากสะสมในร่างกายมาก ๆ จะเป็นอันตรายต่อไต ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของเซลล์ตาย อาจทำให้เกิดมะเร็งได้ การใช้ลวดที่เป็นสี เมื่อใส่ไว้ในปากสักระยะหนึ่ง มีการสัมผัสอาหาร ของเย็น ของร้อน แล้วสีจางลง ส่วนประกอบของสีจะเข้าสู่ร่างกาย ผ่านเข้ากระเพาะอาหาร และดูดซึมไปสะสมไว้ในร่างกาย เป็นการสะสมสารพิษไว้ในร่างกาย
อันตรายต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก ในขั้นตอนการทำ จะมีการใช้หัวกรอ กรอเอาเคลือบฟันที่ดีออกไป รวมทั้งใช้กรดกัดฟัน ซึ่งจะทำให้เคลื่อนฟันบางลง ทำให้ความแข็งแรงของฟันลดลง ทำให้เสียวฟันได้ง่าย
การปรับแต่งลวดโดยผู้ที่ไม่มีความรู้จะทำให้เกิดแรงกดไปที่ตัวฟัน และฟันเคลื่อนไปจากเดิม ทำให้มีอาการปวดฟันมากอาจทำให้ฟันซี่นั้นกลายเป็นฟันตาย รากฟันละลาย อาจจะต้องถอนฟันซี่นั้นทิ้งไป เครื่องมืออาจหลุดลงคอ หรือ หลอดลม ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิต นอกจากนี้การใส่เครื่องมือจัดฟันแฟชั่นมักทำให้เกิดการบาดกระพุ้งแก้ม หรือเนื้อเยื่อในช่องปากกลาย เป็นแผล เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเนื้อเยื่อในช่องปาก อีกทั้งเครื่องมือที่ใส่ในปาก จะขัดขวางการแปรงฟันและทำความสะอาดฟัน อาจทำให้ฟันผุ เหงือกอักเสบ บวมแดง มีกลิ่นปาก
ท้ายนี้ขอเตือนวัยรุ่นทั้งหลายว่า หากฟันไม่ได้มีปัญหาก็ไม่ควรไปจัดหรือดัดฟันแฟชั่น เพราะนอกจากจะเสียเงินโดยใช่เหตุแล้ว อาจได้รับอันตรายจากวัสดุจัดฟันที่ไม่ได้มาตรฐาน ถึงขั้นเสียชีวิตได้

วันพฤหัสบดี, กันยายน 17, 2552

มะเร็งเต้านม


มะเร็งเต้านม พบบ่อยในหญิงไทยเป็นอันดับสองรองจาก มะเร็งปากมดลูก มักพบในหญิงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป หญิงที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย และผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นมะเร็งเต้านม ส่วนหญิงที่อายุน้อยหรือ ผู้ชายก็อาจเป็นมะเร็งเต้านมได้แต่พบน้อย
สาเหตุ
สาเหตุการเกิดโรค ยังไม่ทราบแน่นอน แต่อาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่มีส่วนส่งเสริมให้เกิดมะเร็งเต้านมได้ เช่น เพศ อายุ กรรมพันธุ์ อาหารที่มีไขมันสูง ระบบ ภูมิคุ้มกันในร่างกายฮอร์โมน เชื้อไวรัส และสารเคมีต่าง ๆ เป็นต้น
อาการของโรค
มะเร็งเต้านมมักเป็นที่ส่วนบนต้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วนอื่นโดยเริ่มด้วยการมีก้อนเล็ก ๆ เกิดขึ้นส่วนมากไม่มีอาการเจ็บปวด ก้อนจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เต้านมใหญ่ขึ้น บางชนิดทำให้เต้านมแข็งขึ้น หรือแบนเล็กลงได้
ก้อนมะเร็งอาจดึงรั่งให้หัวนมบุ๋มเข้าไปจากระดับเดิ่ หรือทำให้ผิวหนังบริเวณเต้านมหญาบ ขรุขระ เหมือน ผิวส้ม บางราย ถ้ากด บริเวณหัวนม จะมีน้ำเหลือง หรือน้ำเลือด ไหลซึม ออกมา
มะเร็งจะลุกลาม แพร่กระจายจากตำแหน่งที่เกิดไปอย่างรวดเร็ว ตามหลอดน้ำเหลือง เข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณ รักแร้ หรือ ลุกลามเข้าหลอดเลือดสู่อวัยวะ อื่น ๆ
ในระยะหลัง เนื้อมะเร็งบางส่วนจะเน่าตาย ทำให้เกิดเป็นแผลขยายกว้าง มีกลิ่นเหม็นจัด มีหนอง หรือเลือดไหลออกมาจากแผล
การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง
การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง ควรตรวจภายใน 7-10 วัน ของรอบเดือน โดยนับจากวันแรกของการมีประจำเดือน หรือ ทุกเดือนหลังจากหมดประจำ เดือนแล้ว การตรวจเต้านมอย่างถูกวิธี จะช่วยให้พบสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในระยะเริ่มแรกได้ โดยมี้นตอนการตรวจ ดังนี้
ขั้นที่ 1
การตรวจในขณะอาบน้ำ ขนะอาบน้ำผิวหนังจะเปียกและลื่น ช่วยให้ตรวจได้ง่ายขึ้นโดยใช้ฝ่ามือนิวมือคลำ และเคลื่อนในลักษณะคลึงเบา ๆ ให้ทั่ว ทุกส่วนของเต้านม เพื่อค้นหา ก้อนหรือเนื้อที่แข็งเป็นไต หลังอาบน้ำเสร็จแล้วจึงทำการตรวจขึ้นต่อไป
ขั้นที่ 2
การตรวจหน้ากระจก ก. ยืนตรงมือแนบลำตัวให้สังเกตุเต้านมทั้งสองข้างต่อไปยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะเต้านมว่ามีการดึงรั้งของผิวหนังบริเวณเต้านมส่วนใด หรือระดับเต้านมเท่ากันหรือไม่ ข. ยกมือเท้าสะเอว เอามือกดสะโพกแรง ๆ เพื่อให้เกิดการเกร็ง และหดตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตุว่ามีรอยนูนหรือบุ๋มที่ผิวหนังของเต้านมหรือไม่
ขั้นที่ 3
การตรวจในท่านอน นอน หงายใช้หมอนใบเล็ก ๆ หนุนใต้สะบักข้างที่จะตรวจให้อกเด่นขึ้น และยกมือไว้ไต้ศีรษะ แล้วใช้ฝ่านิ้วมืออีกข้างหนึ่ง คลำให้ทั่ว ๆ ทุกส่วน ของเต้านมใช้มือซ้ายตรวจเต้านมด้านขวาใช้มือขวาตรวจเต้านมด้านซ้ายในลักษณะ เดียวกัน
การ ตรวจเต้านมแต่ละข้าง ให้เริ่มต้นที่บริเวณเต้านมด้านรักแร้ (จุด x ในภาพ) เวียนไปโดยรอบเต้านมแล้วเคลื่อนมือขยับมาเป็นวงแคบ จนถึง บริเวณหัวนม พยายามคลำให้ทั่วทุกส่วนของเต้านม ตอนสุดท้ายให้กดรอบ ๆ หัวนม หรือบีบ หัวนมเบา ๆ ทั้งสองข้าง เพื่อสังเกตุดูว่ามีน้ำเลือด น้ำหนอง หรือน้ำใส ๆ ออกจากหัวนมหรือไม่

วันเสาร์, กันยายน 12, 2552

พระราชอารมณ์ขัน



ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับแก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง และไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ "ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ.. "ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการพร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า ”วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ.."

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า ”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า.." มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

มีเรื่องนึงเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไปทำฝ้าเพดานในวัง คนนึงกำลังยืนบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า อีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงเสด็จมา คนที่อยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ คนอยู่ด้านบนไม่เห็น ก็บอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง” ในหลวงทรงจับบันไดให้ เค้าก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” (สงสัยคงจะเพิ่งเข้ามาทำงานยังไม่ผ่านโปร) พอเสร็จก็ก้าวลง พอเห็นว่าในหลวงเป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อน จะตกบันได รีบลงมาก้มกราบ ในหลวงทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย"

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็กแต่ไม่เคยได้ใช้เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆนานัปการ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

เรามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับท่านให้เพื่อนๆ ฟังตั้งหลายเรื่อง วันนี้เริ่มเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะ เรื่องมีอยู่ว่า เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นท่านทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด" ซึ้งไหมหล่ะ

เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งพ่อหลวงทรงเสด็จไปทีตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว เห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า "ทำไมหน้า เหมือนในหลวงจัง?" ท่านไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ส่วนแม่ค้ามารู้ที่หลังว่าเป็นท่านก็ได้แต่ปลื้ม

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงสูงมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดีว่า "เรายังไม่ตาย ถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว ราษฎรผู้หนึ่งจึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมายพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาทแล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉย ๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะ พระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"

เรื่องที่ 2. พระองค์ท่านเสด็จไปที่จังหวัดสกลนคร เพื่อเยี่ยมเยียนชาวบ้าน และพระองค์ก็ทรงตรัสถามชายคนหนึ่งที่มาเข้าเฝ้าเพราะแขนเจ็บเข้าเฝือก ในหลวงทรงรับสั่งถามว่า "แขนเจ็บไปโดนอะไรมา " ชายคนนั้นตอบว่า "ตกสะพาน" แล้วในหลวงทรงรับสั่งกลับไปอีกว่า " แล้วแขนอีกข้างหนึ่งละ " ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาอีกว่า " แขนข้างนี้ไม่ได้ตกลงไปด้วยตกข้างเดียว" ในหลวงของเราก็ทรงพระสรวล

พระองค์เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรที่ ทางภาคใต้ คือจังหวัดนราธิวาส ทางใต้นี้มีปัญหาเรื่องดินเป็นกรดมีความเค็ม พระองค์จึงทรงรับสั่งถามกับชาวบ้าน ที่มาเฝ้ารับเสด็จว่า "ดินหลังบ้านเป็นอย่างไร เค็มไหม " ชาวบ้านก็มองหน้ากันแล้วทำหน้างง ก่อนตอบกลับมาว่า " ไม่เคยชิมซักที " ในหลวงก็รับทรงสั่งกับข้าราชบริภารที่ตามเสด็จว่า "ชาวบ้านแถวนี้เขามีอารมณ์ขันกันดีนะ "

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้ X วชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้ X วชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ - ทรง... อ้า- ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า - เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ- เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป

มีเรื่องอีกเรื่อง เกิดขึ้นที่ อ.พร้าว พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรเผ่าลีซอ พอจะเสด็จกลับ ผู้เฒ่าคนหนึ่งยื่นถุงห่อข้าวให้ท่าน เกรงว่าท่านจะหิวขณะเดินทาง เป็นน้ำพริกตาแดง กับข้าวเหนียวหนึ่งห่อ พร้อมกับบอกในหลวงว่า "หมู่บ้านเฮามันไกล กว่าเฮาจะเดินเข้าเมืองได้ใช้เวลาหลายวัน กลัวว่าท่านจะหิวกลางทาง" ปลื้มไหมคะ

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก้อ งง ...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่าเมื่อกี้นี้ ชื่อ.... เค้ารับไปแล้ว และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้งเพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม

ทรงพระเจริญ

วันจันทร์, กันยายน 07, 2552

สมุนไพรรักษาโรค



สวัสดีเพื่อนๆ ที่รักสุขภาพทุกท่านเลยนะคะ สำหรับฉบับเราหยิบยกเรื่อง สมุนไพรรักษาโรค มาบอกเล่าให้เพื่อนได้ทราบกันว่า มันมีอะไรบ้าง และมากมายขนาดไหน
จริงๆ แล้วสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้นสามารถที่จะนำมาทำเป็นยารักษาโรคได้ อย่างของใกล้ตัวที่อยู่ครัวบ้านของเรา เช่น กระเทียม ก็สามารถช่วยลดไขมันที่อุดตันในเส้นเลือด สาเหตุของโรคความดัน และโรคหัวใจ และยังมีอีกมากมายที่เราจะหยิบมาเฝ้าเพื่อนๆ ถ้าพร้อมแล้วเราไปรู้จัก สมุนไพรรักษาโรค ที่อยู่ใกล้ตัวพวกเรากันเลยค่ะ


กระเทียม (GARLIC)
พบได้ทั่วโลก ใช้รักษาอาการ



- ลดไขมันในเลือด



- ลดการแข็งตัวของเลือด



- ลดน้ำตาลในเลือด



- ลดความดันโลหิต



- ต้านเชื้อแบคทีเรีย และไวรัส






กล้วยน้ำว้า
พบได้ และสามารถหาได้ทั่วไปในประเทศโซนเอเซีย ใช้รักษาอาการ



- โรคกระเพาะ



- ป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรค



- รักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรงได้



- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย



- บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย



นหางจระเข้
พบได้ทั่วไป สามารถหาได้ทั่วไปในประเทศโซนเอเซีย และพบมากในประเทศไทย ใช้รักษาอาการ
- โรคนอนไม่หลับ



- ปวดหัว



- ผมร่วง



- โรคเหงือกและฟัน



- โรคไต



- โรคเรื้อนกวาง



- โรคกระเพาะ



- ท้องผูก ริดสีดวงทวาร



- คันที่ผิวหนัง ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว และโรคผิวหนังต่างๆ



วันเสาร์, กันยายน 05, 2552

10 ข้อนี้ ใครมีลูกสาวควรอ่าน!



โบราณว่ากันว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน” หรือบางคนอาจเปรยขึ้นมาดีหน่อยคือจาก “ส้วม” เปลี่ยนเป็น “ดอกไม้” แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นอะไร ความหมายก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไปตามคำนามนั้นๆ ซึ่งหมายความว่า หากพ่อแม่ดูแลลูกสาวไม่ดี ชื่อเสียงก็จะเสียหายไปตามๆกัน ความไม่ดีตรงนั้น ในสมัยก่อนอาจหมายถึงการท้องไม่มีพ่อ หรือท้องก่อนแต่ง ซึ่งคนสมัยก่อนถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเสีย ผิดกับสมัยนี้ที่ไม่ค่อยถือสากันแล้ว อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันนี้แม้เรื่องท้องก่อนแต่ง หรือท้องไม่มีพ่อ อาจดูเบาบางกว่าในอดีต แต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับเด็กผู้หญิงอยู่ดี ซึ่งนอกจากเรื่องท้องโดยไม่ได้ตั้งใจของเด็กสาวแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องร้ายๆ ที่พ่อแม่ รวมไปถึงทุกคนในครอบครัวควรเป็นหูเป็นตา ให้ความรักความอบอุ่น และสอนให้ลูกสาวรู้จักรักตัวเองให้มากขึ้น อย่าไปตามกระแสสังคมของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่แคร์ต่อขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและไม่เคารพตัวเอง ทั้งนี้ เรื่องร้ายๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ นับเป็น 10 ข้อสำคัญที่เกิดจากการชิงสุกก่อนห่าม ที่นับวันอายุเฉลี่ยของเด็กสาวก็เริ่มมีอายุที่ตัวเลขน้อยลงเรื่อยๆ โดยทั้ง 10 ข้อมีดังนี้

1. ท้อง-แท้ง

ยิ่งในวัยเรียนการได้รับปริญญาใจก่อนกำหนด 4 ปีการศึกษานั้น มันทำลายชีวิตมาหลายต่อหลายคนแล้ว เพราะจะมีสักกี่คนที่จะทนอุ้มท้องไปนั่งร่วมชั้นเรียนกับเพื่อน และเชื่อเลยว่าคงไม่มีสถานศึกษาใดสนับสนุนด้วย เมื่อชีวิตของการเป็นแม่เริ่มต้นขึ้น ความพร้อมสำหรับทารกน้อยๆ ย่อมปัญหาปากท้องและสังคมก็จะตามมาทีหลัง ส่วนใครที่ไม่เกรงต่อบาปยืนยันว่าฉันจะทำแท้งนั่นก็เท่ากับว่าทำร้ายตัวเองไปเสียแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่า “ไม่ท้องแน่นอนเพราะป้องกันดี” จากการวิจัยก็ยังระบุว่า แม่จะใช้ถุงยางอนามัย แต่ยังมีโอกาสพลาดได้สูงถึง 21% เนื่องจากคุณภาพของถุงยางเสื่อมหรือใช้ไม่ถูกต้องและการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดก็มีโอกาสพลาดได้สูงถึง 5%

2. ซึมเศร้า

วัยรุ่นยังไม่ใช่วัยที่จะตั้งหลักปักฐานกับใครผู้ใด ยังเป็นวัยแห่งการแสวง เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนคู่นอนจึงเกิดเสมอๆ การซึมเศร้าที่เกิดจากภาวะความล้มเหลวเรื่องความรัก ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวัยที่จะคิดเรื่องรักสักเท่าไหร่

3. ติดโรค

ข้อนี้นับเป็นผลมาจากข้อ 2 ที่ว่าวัยรุ่นเป็นเพียงวัยแสวงหา น้อยคนนักที่จะพบรักแท้ยืนยาวเหมือนชีวิตคู่ผู้ใหญ่ การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ย่อมเกิดโรคตามมาแม้จะป้องกันก็ตาม หากพ่อแม่ไม่ดูแลเอาใจใส่ก็อาจทำให้เด็กตกอยุ่ในความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิม

4. เรียนถอยหลัง

หากมัวแต่หมกมุ่นเรื่องรัก คิดหนักแต่เรื่องผู้ชาย ร้องไห้ไม่ยอมเรียน เจ้าตัวเตรียมเรียนซ้ำชั้นอีกรอบได้เลย หรือไม่พ่อแม่ก็ต้องหาที่เรียนใหม่ให้เพราะมุ่งมั่นทำแต่คะแนนรักไม่สนใจการเรียน

5. ติฉินนินทา

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า หากการมีลูกสาวยังคงเเหมือนการมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ท่อแตกวันไหน จะกลิ่นที่เหม็นอยู่แล้ว อาจกลายเป็นกลิ่นส้วมแต่กเลยก็ว่าได้ หากลูกสาวเกิดไปทำเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นมา กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน โดยเฉพาะพวกขี้อิจฉา โดนนินทาว่าเสียตัวแล้วบ้าง เปลี่ยนแฟนอีกแล้ว โดนแฟนทิ้งอีกแล้วบ้าง ซึ่งสำหรับผู้ชายก็อาจจะเป็นที่รังเกียจของสาวดีๆ โดยข้อหานักล่าผู้หญิง หรือนักล่าพรหมจรรย์ พ่อแม่เองก็จะพลอยโดนผลกระทบไปด้วย

6. ไร้ค่า

อาจเกิดการหมิ่นเกียรติกันและกันระหว่างชายหญิง ต่างฝ่ายมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงตัวสนองความใคร่ ไม่มีรักแท้จีรัง ก่อนที่จะรู้จักกันอย่างแน่นแฟ้นเราอาจจะมองเขาในแง่อื่นไปเสียแล้ว โดยเฉพาะผู้ชายที่หลังจากได้เสียกับผู้หญิงแล้ว หากคนไหนใจง่าย ไม่รักตัวเอง ก็จะไร้ค่าทันทีเมื่อตกเป็นของเขา และในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องเป็นผู้ให้อภัยและให้โอกาสลูกสาว…อีกครั้งหนึ่ง

7. ถูกหลอกซ้ำซาก

เหตุนี้เป็นเพราะเคยปล่อยตัวและใจให้คนก่อนและความต้องการรักแท้ เพราะฉะนั้น คำว่ารักก็อาจจะกลายเป็นแค่ตะขอเบ็ดเกี่ยวเหยื่อเท่านั้น

8. ใคร่มากกว่ารัก

วัยรุ่นอาจจะต้องการมีเพศสัมพันธ์มากกว่ารัก และเข้าใจคำว่ารักผิดไป สุดท้ายส่งผลให้ไม่เข้าใจกันในที่สุด จึงมีที่มาให้ครอบครัวเปิดโอกาสพูดคุยกับลูกมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเพศศึกษาที่นับวันเด็กที่พ้น ป.6 มาไม่กี่วันอาจจะอยากรู้ อยากลองแล้วก็ได้ เพราะจากข่าวสารที่ผ่านๆ มาก็พบว่า เด็กที่ตั้งครรภ์ตอนอายุน้อยที่สุดอยู่ในระหว่าง 11-12 ปีเท่านั้น

9. ผิดหวังในรัก

เมื่อคนดีที่เหมาะกับเราเข้ามาในชีวิต เมื่อเขารู้เรื่องราวในอดีตก็อาจจะหลีกหายไปได้ หรือเราเองอาจจะรู้สึกผิดกับอดีตไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือเธอคนนั้น จนกลายเป็นคำว่า เธอดีเกินไป หรือเธอไม่คู่ควรกับฉัน เพราะเธอมันช่ำชอง ไม่น่าไว้วางใจ ฯลฯ

10. สร้างความร้าวฉานในชีวิตคู่

เรื่องราวในอดีตไม่สามารถลบมันได้ แม้เราจะพยายามลืมไปเท่าไหร่ก็ตาม เมื่อคู่ชีวิตล่วงรู้อดีตกาลของเราย่อมเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ ชีวิตคู่จะมีความสุขได้อย่างไร แก้วเริ่มร้าวไม่นานก็แตก และไม่อาจประกอบได้ดั่งเดิม


ท้ายนี้ เด็กๆผู้หญิงคนไหนที่คิดว่าการมีเพศสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องธรรมดา ก็ลองกลับมาทบทวนกันใหม่นะคะ เพราะเชื่อว่าบางคนเห็นร่างกายและอวัยวะของตัวเองเป็นเพียงสิ่งของที่ไม่จำเป็นต้องสงวนไว้อย่างที่ผู้ใหญ่มักจะพูดกันอยู่เสมอ ซึ่งจริงๆแล้ว การที่ผู้ใหญ่คอยเตือน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือครูเองคอยสอนนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือ ทุกคนต้องการให้เด็กผู้หญิงเคารพและรักตนเอง ขณะที่พ่อแม่เองก็ควรเป็นตัวอย่างที่ดีด้วย อย่าให้ลูกเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศสัมพันธ์ ขณะเดียวกันก็ควรเปิดโอกาสและให้เวลาพูดคุยกับลูกบ้าง อีกทั้งควรให้เขาได้ใกล้ชิดศาสนาเป็นระยะ เพราะหลักการสอนของแต่ละศาสนาต่างมุ่งเน้นให้ทุกคนทำดี คิดดี และมีจิตที่บริสุทธิ์ หากลูกรู้จักบาป บุญ คุณ โทษ และเวรกรรม ในสิ่งที่ทำ แน่นอนว่า 10 สิ่งร้ายๆ ข้างต้นจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน และลูกสาวก็จะไม่ถูกเปรียบเปรยให้เป็นส้วมอีกต่อไป

วันจันทร์, สิงหาคม 31, 2552

อันโดรเมดา




นางอันโดรเมดา แห่งวิวาหพระสมุทร








ตัวอย่างคำประพันธ์



อันโดรเมดาสุดาสวรรค์ ยิ่งกว่าชีวันเสน่หา


ขอเชิญสาวสวรรค์ชั้นฟ้า เปิดวิมานมองมาให้ชื่นใจ


ถึงกลางวันสุริยันต์แจ่มประจักษ์ ไม่เห็นหน้านงลักษณ์ยิ่งมืดใหญ่


ถึงราตรีมีจันทร์อันอำไพ ไม่เห็นโฉมประโลมในก็มืดมล


อ้าดวงสุรีย์ของพี่เอ๋ย ขอเชิญเผยหน้าต่างนางอีกหน


ขอเชิญจันทร์ส่องสว่างกลางสากล เย่ียมมาให้พี่ยลเยือกอุรา

วิวาห์พระสมุทร เป็นบทละครพูดสลับรำ มีทั้งบทร้องและบทเจรจา เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ. 2461 เนื้อเรื่องได้เค้ามาจากนิยายกรีกเก่าเชื่อว่า ถ้าหญิงงามตายในทะเลจะช่วยให้พ้นอุทกภัย จุดมุ่งหมาย เพื่อพระราชทานแก่คณะเสือป่า กองเสนาหลวงรักษาพระองค์ แสดงเก็บเงินบำรุงราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ณ พระราชวังสนามจันทร์
กล่าวถึงประชาชนชาว
กรีก ณ เกาะอัลฟะเบตา โง่เขลา หลงเชื่อในอำนาจทางทะเล เมื่อครบรอบ 100 ปี จะต้องส่งสาวพรหมจารีไปเป็นเจ้าสาวของพระสมุทร กษัตริย์มิดัสผู้ครองเกาะจำใจส่งราชธิดาชื่ออันโดรเมดาไป สังเวยทางทะเล แต่อันเดรคู่รักของนางออกอุบาย ขอให้นายนาวาเอกเอดเวิดไลออนกัปตันเรืออังกฤษมาขู่ชาวเมืองให้ยกนางให้อันเดรนางจึงรอดชีวิต และได้แต่งงานกับอันเดรสมปรารถนา
คุณค่าทางวรรณคดี เป็นบทละครสุขใจและขบขันบางตอน เป็นเรื่องรักสดชื่นจบลงด้วยคงามสุข กระบวนกลอนและฉันท์ประณีตบรรจง บทร้องเพราะทำนองดี


วันศุกร์, สิงหาคม 28, 2552

ว่านหางจระเข้: ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว


คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด


ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าไม่แพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

สรรพคุณ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

วิธีทำ : เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อนวิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วันจันทร์, สิงหาคม 24, 2552

ทำไม1วันต้องมี24ชั่วโมง แล้ว1ชม.ต้องมี60นาที แล้วทำไม1นาทีต้องมี60วินาที


1 วัน มีกี่ชั่วโมงนั้นก็เพราะกำหนดจากระยะเวลาการหมุนของโลกรอบตัวเอง ส่วนหนึ่งปีมีกี่วันนั้นก็คิดมาจากระยะเวลาที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ แต่ใครเป็นผู้กำหนดวันเวลานั้นไม่สามารถระบุชี้ชัดลงไปได้ ทั้งนี้ เพราะเวลานั้นเกิดจากการพัฒนาและเรียนรู้ของมนุษย์มานานหลายพันปี




มนุษย์สมัยโบราณเรียนรู้และกำหนดเวลาจากวงรอบทางดาราศาสตร์ โดย "วัน" มาจากการหมุนของโลกรอบแกนใน 24 ชั่วโมง (ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองใช้เวลา 23.56. 1 ชั่วโมง)




"เดือน" มาจากการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์รอบโลก


ซึ่งเมื่อนับวันเทียบกับการโคจรของดวงอาทิตย์ก็พบว่าจันทร์เต็มดวงจะเวียนมาครบรอบใหม่ทุกๆ 29 .5 วัน ส่วนปีก็คือเวลาที่โลกใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์ (365.242199 วัน)




โดยปฏิทินสากลที่เราใช้กันทุกวันนี้เป็นผลงานของชาวโรมัน เมื่อ 2,800 ปีก่อน เดิมทีนั้น ปฏิทินโรมันกำหนดให้ 1 ปีมี 10 เดือน โดยให้เดือนหนึ่งๆ มี 36 วัน หรือ 37 วัน เพื่อให้ปีหนึ่งมี 365 วัน และกษัตริย์นูมาปอมปลิอุส ทรงให้เดือนแรกของปีชื่อ Martius และเดือนที่สิบชื่อ December




นอกจากนี้ก็ได้ทรงกำหนดใหม่ให้เดือนแรกของปีที่ชื่อ


Januarius มี 31 วัน


Februarius มี 28 วัน


Martius มี 31 วัน


Aprilis มี 30 วัน


Maius มี 31 วัน


Junius มี 30 วัน


Quintilis มี 31 วัน


Sextilis มี 30 วัน


September มี 31 วัน


October มี 30 วัน


November มี 31 วัน


และ December มี 30 วัน




และให้ทุก 4 ปีมีการเพิ่มวันอีก 1 วันในเดือน Februarius เนื่องจากข้อเท็จจริงที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบใช้เวลา 365 วันกับอีก 1 ส่วน 4 วัน เมื่อนำเวลาที่เกินมาในแต่ละปีนั้นมารวมเข้าด้วยกันในทุกรอบ 4 ปี ก็จะได้วันเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วัน




นอกจากนี้จูเลียส ซีซาร์ ยังทรงกำหนดให้วันที่ 1 ม.ค.ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งมีผลทำให้เดือน December ซึ่งเคยเป็นเดือนที่ 10 ของปี กลายเป็นเดือนที่ 12 เดือน November กลายเป็นเดือนที่ 11 เดือน October กลายเป็นเดือนที่ 10 และ September กลายเป็นเดือนที่ 9 แทน


และเมื่อ Caesar ถูกปลงพระชนม์ ชาวโรมันได้เปลี่ยนชื่อเดือน Quintilis เป็น Julius เพื่อเป็นเกียรติแด่องค์จักรพรรดิจูเลียส และกลายเป็น July ในเวลาต่อมา




ต่อมา จักรพรรดิออกุสตุสทรงมีพระบัญชาให้มีการปฏิรูปปฏิทินอีก และให้เปลี่ยนชื่อเดือนที่หกจาก Sextilis เป็น Augustus ซึ่งได้กลายเป็น August ในเวลาต่อมา กระนั้น ปฏิทินดังกล่าวนั้นยังไม่ถูกต้อง 100 % เพราะ 1 ปีมิได้ยาวนาน 365 1 ส่วน 4 วัน พอดิบพอดี นั่นก็หมายความว่า ปฏิทินจูเลียนยังมีเวลาที่เกินไป ด้วยเหตุนี้สันตะปาปาเกรเกอรีที่ 13 จึงได้ทรงสั่งให้แก้ไขอีกโดยลดจำนวนวันในปี 1582 ลง 10 วัน แรกๆ ก็มีหลายฝ่ายไม่พอใจแต่ในที่สุดคนทั่วโลกก็ยอมรับและใช้กันจนถึงทุกวันนี้

วันอาทิตย์, สิงหาคม 23, 2552

รู้มั้ย? มด มีเข็มทิศ ไม่หลงทาง

เหล่ามดใช้แม่เหล็กบนหนวดเป็นเข็มทิศในการหาทิศทาง มันจึงไม่มีวันหลง ดร.จันดิรา เฟอร์เรรา เดอ โอลิเวียรา จากศูนย์ฟิสิกส์ ประเทศบราซิล พบว่า แมลงใช้แม่เหล็กที่อยู่ในตัวจัดให้เข้าอยู่ในระนาบเดียวกับแม่เหล็กโลก เมื่อพวกมันต้องเดินทางไกล ดังนั้นมดจึงมีเข็มทิศเช่นเดียวกับสัตว์บางชนิด เช่น นกและปลา เทราต์
สำหรับมดเป็นแมลงที่ฉลาด มันมีสมองที่ใหญ่ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับแมลงชนิดอื่นและเทียบกับขนาดตัวของมัน สมองมดมีเซลล์สมอง 250,000 เซลล์ ส่วนสมองมนุษย์มีหมื่นล้านเซลล์ ในหนึ่งอาณาจักรที่มีมด 40,000 ตัว มีมันสมองเทียบเท่ากับมนุษย์ 1 คน

มดบางสายพันธุ์สามารถทำระเบิดได้ด้วย อย่างมดของมาเลเซียมีต่อม 2 ต่อมที่บรรจุสารพิษ ถ้ามีศัตรูมาล้อม มันจะป่องท้องจนผิวระเบิด ทำให้ตัวมันตาย ส่วนศัตรูก็จะถูกพิษจนตายหรือบาดเจ็บ

วันจันทร์, สิงหาคม 10, 2552

ชาร์จมือถือทิ้งไว้...เปลืองไฟนะ


โทรศัพท์มือถือจัดเป็นอุปกรณ์สื่อสารที่เราใช้ประโยชน์มากที่สุด แต่ใช้พลังงานน้อยที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี
แต่การกระทำของคุณบางอย่างกำลังทำให้เครื่องโทรศัพท์มือถือกลายเป็นอุปกรณ์กินไฟโดยไม่จำเป็น เช่น การชาร์จไฟแบตเตอรี่ค้างไว้ทั้งคืนเพื่อที่เช้ามาคุณจะได้ใช้โทรศัพท์มือถือที่มีไฟเต็มๆ อย่างสบายใจ
หากคุณทำเช่นนั้นเราขอแสดงความยินดีที่คุณก็เสียค่าไฟในการชาร์จค้างคืนไปเต็มๆ เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย คุณอาจจะคิดว่าแบตเตอรี่ต้องใช้เวลานานในการชาร์จแต่ละครั้ง ชาร์จบ่อยๆ ไม่ดีต่อแบตเตอรี่ สู้ชาร์จน้อยๆ แต่นานๆ ดีกว่า ไฟไหลเข้าช้าๆ ช่วยยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ หนักข้อกว่านั้นบอกว่าสัญลักษณ์แบตเตอรี่เต็มตอนแรกคือแค่เต็มพอใช้ แต่ไม่ได้เต็มชนิดเต็มที่ เต็มเปี่ยม เต็มสุดๆ จึงต้องชาร์จต่อไปอีกนิด
โห...ฟังแล้วอยากจะตะโกนดังๆ ว่านี่คือยุคของแบตเตอรี่ลิเทียมครับพี่น้อง มิใช่แคดเมียม เป็นความรู้ยุคโบร้าน-โบราณ เอามาใช้กับแบตเตอรี่ยุคนี้ไม่ได้แล้ว โทรศัพท์บางรุ่นถึงขนาดทำโปรแกรมยืดอายุใช้งานแบตเตอรี่ โดยป้องกันการชาร์จที่ไม่จำเป็น ด้วยการตัดกระแสไฟเข้าทันทีที่ชาร์จเต็ม และปฏิเสธที่จะชาร์จเพิ่มจนกว่าความจุไฟในแบตเตอรี่จะต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ถึงจะชาร์จได้ อีกอย่างถึงคุณจะใช้ทะนุถนอมยังไง ผ่านไป 2 ปีแบตเตอรี่ก็จะเสื่อมไปด้วยอายุขัยของเวลาอยู่ดี
ที่สำคัญแบตเตอรี่ยุคใหม่ไม่มีปัญหาความจำแบบเมโมรีเอฟเฟกต์ และไม่ต้องการเวลาชาร์จนานนัก เพียงแค่ 1-2 ชั่วโมงก็เต็มแล้ว ดังนั้นเวลาที่คุณกลับบ้านให้เสียบชาร์จไว้ แล้วถอดออกก่อนเข้านอนโดยไม่ต้องกลัวว่าเวลาเปิดจนถึงเช้าแบตเตอรี่จะไม่พอใช้ทั้งวัน เพราะโทรศัพท์มือถือมีโหมดสแตนด์บายเปิดรอรับสายอย่างเดียวได้เป็นสัปดาห์ แค่ครึ่งวันไม่ได้เป็นปัญหาหรอกครับ
แต่ถ้าตื่นเช้ามาแล้วพบว่าแบตเตอรี่หายไป 1 ขีด อันนี้เป็นสัญญาณบอกกับคุณว่าให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้ว เพราะแบตเตอรี่เสื่อมจะทำให้เราต้องชาร์จไฟบ่อยขึ้น เปลืองไฟมากขึ้น
หวังว่าหลังจากนี้คุณจะไม่ชาร์จแบตเตอรี่ค้างคืนกันอีกนะครับ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากๆ หากคิดจะช่วยโลกกันจริงๆ

วันจันทร์, สิงหาคม 03, 2552

รหัสมอส ส ส!!



ซามูเอล ฟินเลย์ บรีส มอร์ส (Samuel Finley Breese Morse – 27 เมษายน พ.ศ. 2334 – 2 เมษายน พ.ศ. 2415) นักประดิษฐ์รหัสมอร์ส (Morse Code) และจิตรกรเขียนภาพคนและภาพทิวทัศน์ฉากประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันชีวิตในวัยเยาว์ซา มูเอล มอร์ส เกิดที่เมืองชาลส์ทาวน์ รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นบุตรคนแรกของพระนักภูมิศาสตร์ชื่อ เจไดดิอาห์ มอร์สและอลิซาเบท แอนน์ บรีส มอร์ส หลังจากได้เข้าเรียนที่ฟิลลิปส์อคาเดมีในวัยเด็ก ก็ได้เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 14 ปี มอร์สมีความสนใจและทุ่มเทชีวิตทางศิลปะ และได้เป็นลูกศิษย์ของ วอชิงตัน อาลสตัน จิตรกรอเมริกันผู้มีชื่อเสียง เมื่อเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล มอร์สได้เข้าฟังการบรรยายเกี่ยวกับไฟฟ้าโดยเบนจามิน ซิลลิแมนและเจอเรเมียห์ เดย์ ในขณะเดียวกับก็เขียนภาพจิตรกรรมเพื่อนำเงินมาส่งเสียตัวเอง มอร์สจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยลเมื่อ พ.ศ. 2353 และได้เป็นผู้ติดตามอาลสตันไปท่องยุโรปในปีถัดมาชีวิตในวัยต่อมาใน ปี พ.ศ. 2382 มอร์สได้ตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับการถ่ายภาพดาแกโรไทป์ (daguerreotype) ที่คิดขึ้นโดยหลุยส์ ดาแกร์ ที่เป็นการเขียนโดยคนอเมริกันชิ้นแรกโดยตีพิมพ์จากประเทศฝรั่งเศสใน ปี พ.ศ. 2393 มอร์สได้เดินทางไปโคเปนเฮเกนเพื่อเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ธอร์วาลด์เซน ที่ซึ่งมีสุสานของประติมากรอยู่ภายในบริเวณคอร์ทกลาง มอร์ส์ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 7 และรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นแดนเนบรอกของเดนมาร์ก ซึ่งมอร์สได้กราบทูลให้ทรงทราบว่าประสงค์จะถวายภาพเขียนที่เขียนเมื่อ พ.ศ. 2373 แด่พระองค์ ปัจจุบันภาพเขียนนี้เป็นสมบัติของพระนางมากาเร๊ต ที่ 2 แห่งเดนมาร์กในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2403 - พ.ศ. 2413 มอร์สมีชื่อเสียงในด้านการเป็นผู้สนับสนุนการมีทาสของอเมริการซึ่งมอร์สได้ เขียนเหตุผลตอนหนึ่งไว้ในหนังสือของเขาว่า “เหตุผลในความเชื่อเกี่ยวกับการมีทาสของข้าพเจ้านั้นสั้น การมีทาษโดยตัวของมันเองแล้วไม่เป็นบาป เพราะมันเป็นเงื่อนไขทางสังคมที่มีวัตถุประสงค์ที่ฉลาดที่สุด มีเมตตาธรรมและมีระเบียบวินัยของพระเจ้าที่มีมาในโลกนานมาแล้ว ดังนั้น การเป็นเจ้าของทาสโดยตัวของมันเองจึงไม่เป็นการผิดศีลธรรมมากไปกว่าการเป็น พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือเป็นนายจ้าง หรือเป็นผู้บังคับบัญชา"ครั้ง หนึ่งมอร์สเคยยอมรับความคิดเกี่ยวกับการส่งสัญญาณโทรเลขผ่านทางน้ำของชาลส์ วีตสโตนและคาร์ล ออกัส ฟอน สไตน์ฮีล หรือผ่านไปตามรางรถไฟ หรืออะไรก็ได้ที่เป็นตันนำไฟฟ้ามอร์สถึงแก่กรรมเมื่อเดือนเมษายน พ.ศง 2415 ที่บ้านในนครนิวยอร์ก เมื่ออายุได้ 80 ปี ศพของเขาฝังไว้ที่สุสานกรีนวูดในบรูกลิน นิวยอร์ก

รหัสมอร์ส (Morse code) คือ วิธีการส่งข้อมูลด้วยการใช้รูปแบบสัญลักษณ์สั้นและยาวที่กำหนดขึ้นเป็น มาตรฐานไว้แล้ว ซึ่งมักจะแทนด้วยเครื่องหมายจุด (.) และ เครื่องหมายขีด (-) ผสมกันเป็นความหมายของตัวหนังสือ ตัวเลข และเครื่องหมายพิเศษต่างๆ บางครั้งอาจเรียกว่า CW ซึ่งมาจากคำว่า Continous Wav

จุดกำเนิด เริ่ม ต้นขึ้นในราวกลาง ค.ศ. 1830 โดย ซามูเอล เอฟ. บี. มอร์ส (Samuel F. B. Morse) และ อัลเฟรต เวล (Alfred Vail) ได้คิดค้นเครื่องส่งโทรเลขโดยใช้กระแสไฟฟ้าควบคุมสนามแม่เหล็กของเครื่องรับ ปลายทางผ่านทางสายส่งสัญญาณ

รหัสมอร์สมาตรฐานสากล ตัวอักษรและตัวเลข

นอนไม่พอ เสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวาน


คนที่กินแล้วนอน หมายถึง เป็นคนที่นอนมาก มักจะเป็นคนอ้วน เพราะเมื่อกินอาหารจะได้พลังงานและร่างกายก็ควรใช้พลังงานทำกิจกรรมต่าง ๆ หากกินแล้วไม่ใช้ จะทำให้อ้วน เพราะสารอาหารส่วนเกินจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ดังนั้น คำกล่าวที่ว่ากินแล้วนอนจะอ้วนเหมือนหมูก็ไม่ผิด

อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาเกี่ยวกับผลของการนอนน้อย (วันละน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมง) พบว่าคนที่นอนน้อย จะมีน้ำหนักเพิ่ม เป็นโรคอ้วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน การศึกษาในหญิง-ชาย จำนวนประมาณ 25,000 คน พบว่า มีคนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 7 ชั่วโมง จะมีค่าดรรชนีมวลกายสูงและเป็นโรคอ้วนมากกว่า ส่วนคนที่นอนน้อยกว่าคืนละ 5 ชั่วโมง จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50 และคนที่นอนมากกว่าคืนละ 9 ชั่วโมงก็ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเป็นโรคอ้วนมากขึ้น

บางคนไม่ต้องการนอนน้อย แต่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ กรณีเช่นนี้ต้องพยายามหาวิธีการทำให้นอนหลับให้ได้ ซึ่งแต่ละวิธีอาจเหมาะสำหรับบางคนเท่านั้น คนที่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ อาจลองทำตามวิธีต่อไปนี้ เช่น ใช้ห้องนอนเพื่อการนอนเท่านั้น เข้านอนเป็นเวลา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือกาเฟอีนก่อนนอน หลีกเลี่ยงการงีบในช่วงดูทีวีตอนหัวค่ำ หลีกเลี่ยงการอ่านหนังสือหรือดูทีวีเรื่องที่ตื่นเต้น ออกกำลังกายเป็นประจำ หรืออาจดื่มนมอุ่น ๆ นวดตามตัวหรือฟังดนตรีเบา ๆ อาจช่วยให้หลับได้ดีสำหรับหลาย ๆ คน

วันจันทร์, กรกฎาคม 27, 2552

พริก ลดความอ้วนได้จริงหรือ


ขึ้น ชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติสามารถลดความอ้วนได้นั้น กำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะคุณสาวๆ ทั่วไปที่หันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปร่างจะถือ เป็นค่านิยมหรือไม่ผู้เขียนไม่สามารถชี้ชัดได้ที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน มีเรืองร่างอันผอมเพรียว จนบางคนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก (ไม่รู้ว่าสวยตรงไหน)และที่ได้รับความสนใจอยู่ในขณะนี้คือการลดความอ้วนโดยวิธีกินยา ซึ่งถือว่าอันตรายดัง นั้นหลายคนจึงหาทางออกโดยมองหาสมุนไพรตามธรรมชาติมาใช้ในการลดความอ้วน สารสกัดจากพริกจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นำมาใช้ ดังนั้นจึงเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัยว่าสารสกัดจากพริก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือ จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวอ้างว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร จากการศึกษาในคนพบว่า อาหารรสเผ็ดที่มี Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่นอกจากนี้ยังพบอีกว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ดไม่มี ผลเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรืออุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ และทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนอีกด้วยดังนั้นผู้บริโภคควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจหรือบริโภค

วันจันทร์, กรกฎาคม 13, 2552

ล้างมืออย่างไรให้สะอาด


ล้างมืออย่างไรให้สะอาด
วิธีการล้างมือ 7 ขั้นตอน
หลังใช้ห้องน้ำ/ห้องส้วม หลังสัมผัสสิ่งสกปรก
ก่อนเตรียม-ปรุงอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร
ต้องล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ทุกขั้นตอนทำ 5 ครั้ง สลับกันทั้ง 2 ข้าง
1.ฝ่ามือถูกัน
2.ฝ่ามือถูหลังมือและนิ้วถูซอกนิ้ว
3.ฝ่ามือถูฝ่ามือและนิ้วถูซอกนิ้ว
4.หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ
5.ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ
6.ปลายนิ้วมือถูขวางฝ่ามือ
7.ถูรอบข้อมือ

กฎหมายที่ผู้หญิงควรรู้


กฎหมายที่ผู้หญิงควรรู้กฎหมาย เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันจนแยกกันไม่ออก คนที่ไม่รู้เรื่องกฎหมายอาจเสียเปรียบและมักพลาดท่าเสียที หรือเสียโอกาสเพราะความไม่รู้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ชอบบอกว่า กฎหมายเป็นเรื่องยุ่งยากจนละเลยที่จะเรียนรู้ แต่หารู้ไม่ว่าการรู้กฎหมายนั้นล้วนเป็นผลดีต่อการดำรงชีวิต และเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของความไม่รู้นั่นเอง
ศรัณยา ไชยสุต อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เปิดเผยว่า กฎหมายที่ผู้หญิงควรรู้หลักๆ มี 3 ด้าน ได้แก่ กฎหมายครอบครัว กฎหมายแรงงาน และกฎหมายแพ่ง เพราะเหล่านี้คือสิ่งที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันในฐานะที่ผู้หญิงเป็นทั้งแม่ ภรรยา และลูก
กฎหมายครอบครัว
กฎหมายครอบครัวนั้น เริ่มตั้งแต่การหมั้น การสมรส การหย่า และทรัพย์สินระหว่างสมี-ภรรยา ซึ่งจากข้อมูลของหนังสือ “กฎหมายกับผู้หญิง” จัดทำโดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า สิ่งจำเป็นที่คุณผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้ก่อนทำการสมรส มี 7 เรื่องด้วยกัน เริ่มจาก 1. การหมั้น ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดเงื่อนไขการหมั้นไว้ว่า ชาย-หญิง จะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ โดยต้องให้บิดา มารดา ผู้ปกครองให้ความยินยอม และจะต้องมีการมอบของหมั้นให้แก่หญิง เพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหฐิงนั้น
2. เงื่อนไขการสมรส ชาย-หญิงต้องมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ถ้าจะสมรสอายุน้อยกว่านี้ต้องขออนุญาตศาล มิฉะนั้น อำเภอจะไม่จดทะเบียนสมรสให้ ทั้งนี้ทั้งคู่ต้องมีสติดี ไม่เป็นคนวิกลจริต และห้ามสมรสกับผู้รับบุตรบุญธรรม ห้ามญาติสนิทสืบสายโลหิตสมรสกัน ถ้ามีคู่สมรสแล้วห้ามจดทะเบียนสมรสอีก หญิงม่ายต้องรอ 310 วัน จึงจะสมรสใหม่ได้ รวมทั้งผู้เยาว์ต้องขอความยินยอมจากบิดามารดา นอกจากนี้คือ ชาย-หญิง ต้องยินยอมเป็นสามีภรรยากัน
3. ทรัพย์สินระหว่างสามี-ภรรยา กฎหมายแบ่งทรัพย์สินระหว่าง สามี-ภรรยา เป็น 2 ชนิด คือ สินส่วนตัว ได้แก่ ทรัพย์ที่มีอยู่ก่อนสมรส เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับตามควรแก่ฐานะ เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รวมถึงทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดก หรือการให้โดยเสน่หา เช่น พ่อตา แม่ยาย ตาย ฝ่ายหญิงได้รับมรดกมาก็เป็นสินส่วนตัวของหญิง ถัดมาคือสินสมรส ได้แก่ ทรัพย์ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ทรัพย์ที่ผู้ให้ทำพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ ระบุว่าให้ทั้งสองคนเป็นสินสมรส และทรัพย์ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
4. การหย่า ถ้าอยู่ด้วยกันไม่มีความสุข ประสงค์จะหย่าขาดจากกัน ตกลงกันได้โดยสันติวิธี เขียนสัญญาหย่าเป็นลายลักษณ์อักษร แบ่งลูก แบ่งทรัพย์กันว่าลูกคนไหนใครจะปกครอง ทรัพย์ชิ้นไหนใครจะเอา ลงชื่อสามี ภรรยา ต่อหน้าพยาน 2 คน แล้วนำสัญญาหย่าไปจดทะเบียนที่อำเภอ สำหรับข้อควรระวังของการหย่าคือ ต้องคิดให้รอบคอบ อย่าตัดสินใจวู่วามโดยใช้อารมณ์ เพราะบางครั้งเมื่อหายโกรธจะกลับมาคืนดีกันอีกก็กลับไม่ได้ เพราะเขาไปจดทะเบียนใหม่กับคนอื่นไปก่อนแล้ว แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ เพราะฝ่ายหนึ่งอยากหย่า แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หรือยอมแต่แย่งลูก แย่งทรัพย์กัน ก็ต้องฟ้องร้อง
5. บุตรนอกสมรส คือ เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้จดทะเบียนสมรส เป็นบุตรนอกสมรสของชาย ถ้าชายมีศีลธรรมดีรับผิดชอบต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา ก็มีทางช่วยให้เด็กเปลี่ยนฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย
6. บุตรบุญธรรม ผู้ประสงค์จะรับบุตรบุญธรรมจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด คือ อายุ 25 ปีบริบูรณ์และแก่กว่าเด็กอย่างน้อย 15 ปี จะต้องรับความยินยอมจากบิดา-มารดาของเด็ก และจากตัวเด็กเอง (ถ้าอายุครบ 15 ปีแล้ว) รวมทั้งจากคู่สมรสทั้งผู้รับและผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม จากผู้ดูแลสถานสงเคราะห์ (หากเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งอยู่ในสถานสงเคราะห์) และต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ต้องผ่านการทดลองเลี้ยงดู 6 เดือน เพื่อดูว่าเข้ากับครอบครัวใหม่ได้หรือไม่ โดยมีนักสังคมสงเคราะห์ไปเยี่ยมอย่างน้อย 3 ครั้ง และต้องจดทะเบียน
7. มรดก หากเป็นมรดกตกทอด ทายาทที่จะได้รับ คือทายาทโดยธรรม และทายาทตามพินัยกรรม ถ้าผู้ตายทำพินัยกรรมสั่งไว้ว่ายกทรัพย์ชิ้นใดให้แก่ใคร ผู้นั้นก็มีสิทธิ์รับทรัพย์ตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรม แต่หากผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ทรัพย์มรดกจะตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม ซึ่งมี 6 ลำดับ ได้แก่ บุตร ถ้าบุตรคนใดตายก่อน หลานซึ่งเป็นบุตรของบุตรจะรับแทน ถัดมาคือ บิดา มารดา พี่น้องร่วมบิดา หรือร่วมมารดาเดียวกัน ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อากฎหมายแรงงาน
ปัจจุบันผู้หญิงต้องออกมาทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยภาระในครอบครัว ความรู้เรื่องกฎหมายแรงงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อมิให้ถูกเอาเปรียบหรือละเมิดสิทธิที่พึงได้ กฎหมายแรงงานนั้นมีฐานมาจากการขัดแย้งระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ใช้แรงงานเนื่องจากอำนาจต่อรองของผู้ใช้แรงงานมีน้อยกว่า รัฐจึงต้องตรากฎหมายเพื่อคุ้มครองเป็นหลักประกัน
กฎหมายแรงงาน มีตั้งแต่เรื่องของสัญญาจ้างแรงงานลูกจ้างตามกฎหมาย ข้อจำกัดแรงงานหญิง และเซ็กซ์ในที่ทำงาน ที่กล่าวได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่ของผู้หญิง เนื่องจากเรื่องแบบนี้ไม่ใช่จะเกิดแต่ในที่ทำงานอย่างเดียว แต่กลับเกิดขึ้นโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน โรงแรม หรือแม้แต่บนรถเมล์ ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนที่ทำงานด้วยกันจะมีมาก รวมทั้งอำนาจเกินขอบเขต แต่การมีเรื่องทางเพศในที่ทำงานนั้นหากเป็นความยินยอมพร้อมใจกันก็ไม่เป็นปัญหา แต่มีหลายรายที่มีปัญหาแบบว่าพอใจฝ่ายเดียว
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของเจ้านายลวนลามทางเพศกับลูกจ้างด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะลูกน้องย่อมต้องกลัวนาย มีคนกล่าวถึงเลขาสาวกับนายจ้างกันมาก กฎหมายแรงงานจึงเข้ามาก้าวก่ายกำหนดห้ามเอาไว้ชัดเจน ห้ามมิให้มีการจับจูบลูบคลำกันพร่ำเพรื่อ ซึ่งการลวนลามนี้ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเข้าขั้นข่มขืนหรืออนาจาร เพียงใช้คำพูดในลักษณะล่วงเกินทางเพศก็ถือว่าผิดแล้ว ดังนั้น หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นก็สามารถจะเล่นงานเจ้านายได้ตามกฎหมายแรงงาน เพราะมีโทษปรับทางอาญาถึง 2 หมื่นบาททีเดียว และลูกจ้างเองก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้อีกทางด้วย
กฎหมายแพ่ง
ส่วนใหญ่เรื่องที่ต้องเป็นความ หรือมีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลนั้นเกินกว่าร้อยละ 90 มักจะมาจากความไว้เนื้อเชื่อใจกันจนเกินไปหรือมาจากคนใกล้ชิดสนิทสนม แล้วก็มักจะละเลยในการที่จะทำอะไรให้ถูกต้อง ตรงไปตรงมา ดังนั้น การรู้เรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ จะทำให้คุณผู้หญิงไม่ตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
1. การกู้ยืมเงิน กฎหมายกำหนดว่า ถ้ากู้เงินกันเกินกว่า 50 บาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ มิฉะนั้น จะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ กฎหมายนี้ร่างกันมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2478 สมัยนั้นเงิน 50 บาท มิใช่น้อย แต่เมื่อยังไม่ได้มีการแก้ไข ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย
2. การเช่าซื้อกับการซื้อขายแบบผ่อนส่ง โดยความหมายของการเช่าซื้อ คือ ผ่อนชำระค่าสินค้าเป็นงวดๆ เช่นเดียวกับการซื้อขายแบบผ่อนส่ง แต่ต่างกันที่ว่าการซื้อขายแบบผ่อนส่งกรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นจะโอนไปยังผู้ซื้อทันที
3. การขายฝาก สำหรับการขายฝากนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกเป็นของผู้ซื้อทันทีเมื่อทำการซื้อขายกัน เพียงแต่มีข้อตกลงว่า ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์สินคืนได้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ข้อตกลงนี้ต้องทำเป็นหนังสือ และต้องจดทะเบียนระบุให้ชัดเจนว่า จะไถ่คืนภายในเวลากี่ปี ด้วยทรัพย์สินไถ่เงินคืนเท่าไหร่ เป็นต้น
4. การจำนอง คือการเอาเอกสารที่แสดงกรรมสิทธิ์ เช่น โฉนดที่ดิน หรือ ร.ส.3 ไปจดทะเบียนเป็นประกันการชำระหนี้โดนไม่ต้องส่งมอบทรัพย์ ส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ยังเป็นของลูกหนี้อยู่ เจ้าหนี้จะบังคับเอาทรัพย์หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ได้ต่อเมื่อลูกหนี้ขาดส่งดอกเบี้ย 5 ปี ติดต่อกัน และต้องฟ้องบังคับจำนอง ทรัพย์ไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าหนี้ทันที อย่างการขายฝาก เกษตรกรจึงควรระมัดระวัง ถ้าเอาที่ดินไปจำนองใครก็ต้องพยายามส่งดอกเบี้ยไว้ทุกปีอย่าได้ขาด และอย่าพยายามไปขอกู้เงินเพิ่มโดยอาศัยหลักทรัพย์เดียวกันนั่นอีก เพราะถือว่าเพิ่มต้นก็จะเพิ่มดอกจนส่งไม่ไหว ทำให้ที่ดินหลุดมือได้

วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 09, 2552

ข้อแตกต่างระหว่าง7-11กับร้านโชห่วย


7-Eleven : ทุ่มทุนการสร้างมโหฬาร เปิดไฟยังกะไม่ต้องเสียค่าไฟ

(แม้ว่าจะใช้หลอดประหยัดไฟก็ตาม)

อาแปะ : ขี้เหนียว เปิดไฟหยุมหยิมพอเป็นพิธี ร้านจึงดูลึกลับ (ไม่)น่าค้นหา


7-Eleven : มีแอร์ 4 ตัวในร้าน แต่ไม่เปิดทุกตัว (ที งี้ ดันประหยัด)

อาแปะ : มีแต่ แอร์กี่ 1 ตัวในร้าน ( 4 ตัวไม่ได้เดี๋ยวบ้านแตก อิอิ)


7-Eleven : ใช้เครื่องมือคิดเงินที่ดูดีมีชาติตระกูล แต่ด้วยความงี่เง่า(บางครั้ง)ของคนคีย์ ระบบราชาแค่ไหนก็ถึงคราวรวนได้

อาแปะ : ระบบคิดเงินด้วยสมอง ถ้าลูกค้าหน้าตาชื่อๆ ก็มีคิดแถม แต่ถ้าลูกค้าขาวสวยน่ารัก อันนี้ลดโดยอัตโนมัติ (อิฮิ)


7-Eleven : แบ่งการทำงานเป็น 3 กะๆละ 8 ชั่วโมง.

อาแปะ : แบ่งการทำงานเป็น 2 กะ กะผัวกะเมีย


7-Eleven : น้ำกดอัตโนมัติ ที่คุณอาจโกงได้ เพียงซื้อน้ำแข็งมาก่อน แล้วก็ล่อน้ำเพียวๆ กำไร

อาแปะ : มีเครื่องดื่มในตู้แช่ ตรึม แต่ที่โดดเด่นคือเก๊กฮวยใส่แก้วขาย


7-Eleven : ขายเหล้าแบบเต็มขวด (ฝันไปซะที่จะแบ่งขาย)

อาแปะ : ขายเหล้าแบบแบ่งกั๊กก้ง บุหรี่ก็แบ่งมวนขาย


7-Eleven : ถามหาของอะไร เรานับ1-1000 บางทีพนักงานก็ยังไม่รู้เลย ว่าที่เราถามหาคืออะไร อาแปะ : ถามหาของอะไร เรานับ1-5 ของก็มา ด้วยญาณวิเศษในการค้นหาของแปะ


7-Eleven : ไม่มีที่ล็อคประตู (ยกเว้นกรณีเจ๊ง)

อาแปะ : มีการปิดร้าน


7-Eleven : มี 'ติ๊งต่อง'

อาแปะ : ไม่มี


7-Eleven : พนักงานไม่ได้ความ ชอบนึกว่าเราขี้ลืม ซื้อ ของไม่ครบ ถามอยู่นั่นล่ะ 'รับน้ำแข็งเพิ่มมั้ยคะ' (เวลาซื้อเบียร์) 'รับซาลาเปาทานเพิ่มมั้ยคะ' (เวลาซื้อน้ำกด) 'รับฮอทดอกทานเพิ่มมั้ยคะ' (เวลาซื้อถุงยาง!) รับไฟเช็ดเพิ่มมั้ยคะ (เวลาซื้อบุหรี)

อาแปะ : แปะไม่ดูถูกเรายังงั้นหรอกน่า


7-Eleven : ป้ายร้านสีสดมากๆ จนพอไปตั้งที่ถนนราชดำเนิน หลายคนก็บอกว่า ร้านแถวนั้นเค้าจะดูสงบๆ สีไม่ฉูดฉาด แต่พี่ไปแบบฉูดฉาดเหมียนเดิม

อาแปะ : เน้นเรียบง่าย แต่ขลังด้วยสีแดง+ทอง


7-Eleven : ชอบหาของมาให้แลกซื้อ แล้วก็มักเป็นของหลอกเด็ก (แต่ผมก็หลงซื้อ)

อาแปะ : ไม่ต้องแลกซื้อ ขายเลย (เวร!...พอกัน)


7-Eleven : เวลามัลล์คิดตังค์ จะพูดนัยว่า'ขอให้ผู้ที่อยู่ในร้าน โปรดรับทราบไว้ด้วยว่า อีนังนี่มาเซเว่น แล้วซื้ออะไรบ้าง' ด้วยวิธีคิดตังค์แบบแหกปาก '44 พินA 50บาท ทั้งหมด2015บาท 50สตางค์ค่ะ'

อาแปะ : เวลาคิดตังค์ แปะจะสงบหรี่ตาเล็กน้อยแล้วก็พึมพำ (คล้ายเด็กคิดจินตคณิตน่ะ) จากนั้นก็พูดราคาออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ


7-Eleven : เมื่อVATลงเหลือ 7% ก็ลดราคาลงทันที (อันนี้ดี)

อาแปะ : จะลงก็ช่างหัวมัน อั๊วรอแต่เมื่อไรมีข่าวว่าจะขึ้น อั๊วก็ชิงขึ้นก่อนเลยน้อ (อันนี้ไม่ไหว)


7-Eleven : ถูพื้นบ่อยม๊าก บ่อยจนพื้นร้านน้ำนองเป็นชายฝั่งทะเล

อาแปะ : เดือนละหนพอ สุดท้ายนี้ แม้ว่าจะแซวร้านขายของไปนิด แต่อยากจะบอกว่าทุกร้าน ก็มีเจตนาที่จะขายของ แล้วให้เรารู้สึกพึงพอใจที่สุด เพื่อจะกลับมาอีก เหมือนกับที่7-11พูดไง 'โอกาสหน้า เชิญใหม่ค่ะ'

คุณว่าจริงมะ??

วันจันทร์, มิถุนายน 29, 2552

วันชาติฝรั่งเศส




วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า "The Feast of the Federation" เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ "Champs-de-Mars" ในกรุงปารีส แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย "the Third Republic*"นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น "วันชาติฝรั่งเศส"และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น
ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้
ความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศสนั้นเริ่มมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอย่างเป็นทางการเมื่อ 300 ปีก่อน ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ทรงแต่งตั้งคณะทูตเดินทางมาเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทยในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ถึงกรุงศรีอยุธยา ขณะเดียวกับพระองค์ทรงส่งคณะทูตฝ่ายไทยเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ถึงพระราชวังแวร์ซายส์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนอีกด้วย นับแต่นั้นเป็นต้นมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศจึงปฏิบัติสืบต่อเรื่อยมาถึงทุกวันนี้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนความร่วมมือทั้งทางด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การศึกษาและอื่น ๆ อีกมาก ทั้งนี้กระทรวงและองค์กรต่าง ๆ ของฝรั่งเศสได้ให้การช่วยเหลือแก่ประเทศไทยนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ เป็นเงินกว่า 250 ล้านบาท แต่กระนั้นก็ตามฝรั่งเศสก็ยังเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายไม่มากนักสำหรับคนไทย แม้ว่าจะมีบทบาทในฐานะประเทศที่ยังใหญ่ในด้านศิลปวัฒนธรรมมาช้านานก็ตาม แต่ทั้งนี้ในความจริงแล้วนั้นฝรั่งเศสจัดได้ว่าเป็นประเทศที่ 4 รองจากญี่ปุ่น,เดนมาร์ก และเยอรมณีในการให้ความร่วมมือกันมากที่สุดในระดับทวิภาคี
นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาฝรั่งเศสได้ตอกย้ำที่จะดำเนินการส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนสาขาอื่น ๆ ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยต้องประสบกับภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ อยู่นี้จนก่อให้เกิดผลกระทบต่อนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับทุนจากรัฐบาลและทุนส่วนตัว จึงได้มีการจัดนิทรรศการการศึกษาในฝรั่งเศส เพื่อให้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วการศึกษาในฝรั่งเศสไม่แพงอย่างที่คิด ซึ่งเสียค่าเล่าเรียนตกปีละ 10,000 บาทโดยประมาณเพื่อนำความรู้ที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศ
ในเรื่องของความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ซึ่งรู้กันดีว่ากำลังกดดันจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ปีที่แล้วแต่อย่างไรก็ดีภาพที่ออกมากลับตัดกันอย่างสิ้นเชิง โดยสินค้าผู้บริโภคที่ฝรั่งเศสนำเข้าประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับคงที่ ขณะที่ประเทศไทยกลับส่งสินค้ามากขึ้นสาเหตุจากการลดค่าเงินบาท จึงส่งผลให้มีส่วนส่งเสริมการส่งออกของสินค้าของไทยได้มากขึ้น ซึ่งบรรดาบริษัทของชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นฐานการส่งออกของสินค้าไทยต่างรู้พึงพอใจกับยอกการส่งออกไปสู่ตลาดทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการมุ่งเน้นที่ตลาดภายในประเทศของบริษัทย่อยของฝรั่งเศสประจำปรเทศไทยภาพที่ออกมาปรากฎผลดีในระยะสั้นเท่านั้น แต่หัวใจสำคัญก็คือการลงทุนซึ่งประเทศไทยได้มุ่งเป้าไปที่แผนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ โดยได้มีการร่างในรายละเอียดของแผนการใหญ่เพื่อดึงนักลงทุนต่างชาติให้ห้นมาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสกำลังเฝ้าจับตามอง
สาธารณรัฐฝรั่งเศส

ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก มีประวัติศาสตร์ที่เจริญรุ่งเรืองมาช้านาน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ประเทศฝรั่งเศสได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งกำเนิดศิลปและความคิดริเริ่มสร้างสรรอันสำคัญของโลก คำว่า "ฝรั่งเศส" มีความหมายหลายประการเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านต่าง ๆ เช่น ความเป็นผู้นำทางการเมืองและการปกครอง ประเทศฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการปฏิวัติตลอดการและเป็นประเทศมหาอำนาจที่สำคัญประเทศหนึ่ง ประเทศฝรั่งเศสมีชื่อเสียงทางด้านศิลป ปรัชญา, วรรณคดี, ลักษณะ, สังคม, แฟชั่น หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตโดยการแสวงหาความสุขมาบำเรอจิตใจและอาหารการกินอีกด้วย ด้านภาษาประจำชาติ ภาษาฝรั่งเศสนับเป็นภาษาสากลอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผู้นิยมใช้ภาษาฝรั่งเศสอย่างกว้างขวาง ปรัชญาเมธีผู้มีแนวความคิดก้าวหน้าได้เกิดขึ้นในประเทศนี้มากมายหลายท่าน

กรุงปารีสได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่มีความสวยงามที่สุดในทวีปยุโรป มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ มีโบราณสถานที่สำคัญและมีคุณค่าทางศิลปกรรม เช่น พระราชวังแวร์ซายส์,หอไอเฟลและโบราณวัตถุทางศิลปด้านต่าง ๆ ที่น่าชม ประเทศฝรั่งเศสมีความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมและจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงในโลก

วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 25, 2552

ภูเขาไฟ

เมื่อพูดถึงภูเขาไฟ คนทั่วไปมักนึกถึงภูเขาไฟชนิด Composite Cone Volcano หรือที่รู้จักกันในชื่อ Stratovolcano ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีความสวยงามที่สุดในโลก ลักษณะของ Composite Cone จะใหญ่ มีความสมมาตร ทำให้ถ่ายภาพออกมาแล้วสวยงาม ส่วนใหญ่ภูเขาไฟชนิดนี้จะมีส่วนยอดปกคลุมด้วยหิมะ ที่ความสูงกว่า 2500 ม. ที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีได้แก่ภูเขาไฟฟูจิ (Mt Fuji) ในญี่ปุ่น ภูเขาไฟมายอน (Mt Mayon) ในประเทศฟิลิปปินส์ และภูเขาไฟเซนต์เฮเลนในประเทศสหรัฐฯ ภูเขาไฟชนิด Composite Cone นี้มักพบในเขต “Ring of Fire” ที่ล้อมรอบมหาสมุทรแปซิฟิก การจำแนกภูเขาไฟตามรูปร่าง
กรวยภูเขาไฟสลับชั้น
กรวยภูเขาไฟสลับชั้น(Composit Cone Volcano) เป็นภูเขาไฟซึ่งเกิดจากการสลับหมุนเวียนของชั้นลาวา และเศษหิน ภูเขาไฟชนิดนี้อาจจะดันลาวาไหลออกมาเป็นเวลานาน และจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการประทุอย่างกระทันหัน ภูเขาไฟชนิดนี้ที่มีชื่อ เช่น ภูเขาไฟฟูจิ (ญี่ปุ่น), ภูเขาไฟมายอน (ฟิลิปปินส์) และ ภูเขาไฟเซนต์เฮเลน (สหรัฐฯ)
ภูเขาไฟรูปโล่
ภูเขาไฟรูปโล่ (Shield Volcano) เป็นภูเขาไฟที่มีขนาดใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วภูเขาไฟชนิดนี้เกิดจาก ลาวาชนิดบาซอลท์ที่ไหลด้วยความหนืดต่ำ ลาวาที่ไหลมาจากปล่องกลาง และไม่กองสูงชัน เหมือนภูเขาไฟชนิดกรวยสลับชั้น ภูเขาไฟชนิดนี้มักจะเป็นภูเขาไฟที่ใหญ่ เช่น ภูเขาไฟ Muana Loa (ฮาวาย)
การเกิดภูเขาไฟ
เกิดจากหินหนืดที่อยู่ใต้เปลือกโลกถูกแรงดันอัดให้แทรกรอยแตกขึ้นสู่ผิวโลก โดยมีแรงปะทุหรือแรงระเบิดเกิดขึ้น สิ่งที่พุ่งออกมาจากภูเขาไฟเมื่อภูเขาไฟระเบิดก็คือ หินหนืด ไอน้ำ ฝุ่นละออง เศษหินและแก๊สต่างๆ โดยจะพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ (หินหนืดถ้าถูกพุ่งออกมาจากบนพื้นผิวโลกเรียกว่า ลาวา แต่ถ้ายังอยู่ใต้ผิวโลกเรียกว่า แมกมา)
บริเวณที่มีโอกาสเกิดภูเขาไฟ แนวรอยต่อระหว่างเพลตจะเป็นบริเวณที่มีโอกาสเกิดภูเขาไฟได้มากที่สุด โดยเฉพาะบริเวณที่มีการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลก ใต้พื้นมหาสมุทรลงไปสู่บริเวณใต้เปลือกโลกที่เป็นส่วนของทวีป เพราะเปลือกโลกแผ่นเปลือกโลกที่มุดตัวลงไปจะถูกหลอมกลายเป็นหินหนืด จึงแทรกตัวขึ้นมาบริเวณผิวโลกได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น บริเวณที่อยู่ห่างจากรอยต่อระหว่างเปลือกโลก ก็อาจเกิดภูเขาไฟได้เช่นกัน ซึ่งเกิดขึ้นโดยกระบวนการที่หินหนืดถูกดันขึ้นมาตามรอยแยกในชั้นหิน ตัวอย่างเช่น นักธรณีวิทยาพบว่า บริเวณจังหวัดลำปางและบุรีรัมย์ เคยมีบริเวณที่หินหนืดถูกดันแทรกขึ้นมาตามรอยแยกของชั้นหิน และมีบางแห่ง เกิดการปะทุแบบภูเขาไฟ แต่ไม่รุนแรงมากนัก
ประโยชน์และโทษของการเกิดภูเขาไฟ
1.แผ่นดินขยายกว้างขึ้นหรือสูงขึ้น
2.เกิดเกาะใหม่ภายหลังที่เกิดการปะทุใต้ทะเล
3.ดินที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดจะอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุต่างๆ
4.เป็นแหล่งเกิด
น้ำพุร้อน
โทษของการเกิดภูเขาไฟ
1.เมื่อภูเขาไฟระเบิดจะมีเขม่าควันและก๊าซบางชนิดซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตได้
2.การปะทุของภูเขาไฟอาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวขึ้นได้
3.ชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่ใกล้เคียงเป็นอันตราย
4.สภาพภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด

วันจันทร์, มิถุนายน 22, 2552

ประวัติหมีพูห์



หมีพูห์ หรือ วินนี-เดอะ-พูห์ ( Winnie-the-Pooh) เป็นตัวละครหมีที่สร้างขึ้นโดย เอ. เอ. มิลน์ และตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 14 ตุลาคมค.ศ. 1926 ในหนังสือเรื่อง วินนี-เดอะ-พูห์ และ เดอะเฮาส์แอตพูห์คอร์เนอร์ (1928) เนื้อเรื่องในหนังสือมีลักษณะคล้ายกับ ป่าแอชดาวน์ ในเมือง อีสต์ซัซเซก ในประเทศอังกฤษ โดยชื่อ วินนี มาจากชื่อตุ๊กตาหมีของทหารชาวแคนาดานายหนึ่ง ซึ่งตั้งตามชื่อเมือง วินนีเพก ในประเทศแคนาดา นอกจากหมีพูห์แล้วเพื่อนในป่าที่ได้รับความนิยมได้แก่ พิกเลต ทิกเกอร์ และ อียอร์ ต่อมา วอลต์ดิสนีย์ ได้นำวินนี-เดอะ-พูห์ มาจัดทำและได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น Winnie the Pooh (โดยไม่มีเครื่องหมายขีด) และหมีพูห์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของดิสนีย์ หมีที่ชื่อว่า วินนี่ เดอะ พูห์ เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเอ.เอ.ไมลน์ ( A.A.Miline) นักเขียนชาวอังกฤษ มีชื่อเต็มว่า อลัน อเล็กซานเดอร์ ไมลน์ ตำนานของหมีพูห์เริ่มจากการที่ทหารกองทัพแคนาดาได้นำหมีน้อยตัวหนึ่ง ชื่อว่า วินนี่ เพ็ก แก่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของการร่วมรบกันระหว่างกองทัพแคนาดาและอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ( ค.ศ.1914-1918) หมีน้อยตัวนี้ได้ไปอยู่ที่สวนสัตว์กรุงลอนดอน ในปี 1919 ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชาวลอนดอนมาก รวมถึงหนูน้อยคริสโตเฟอร์ โรบิน ลูกชายของนักเขียนชื่อเอ.เอ.ไมล์น หนูน้อยคริสโตเฟอร์นำชื่อวินนี่ เพ็ก ไปตั้งชื่อตุ๊กตาหมีตัวโปรดว่า วินนี่ เดอะ พูห์ โดยคำว่า “ พูห์” (Pooh) เป็นชื่อของหงส์ในกวีบทหนึ่ง ต่อมาเอ.เอ.ไมลน์ จึงเริ่มเขียนเรื่องราวของวินนี่ เดอะ พูห์ และเพื่อนพ้องของมัน โดยหนังสือวางจำหน่ายเมื่อปีค.ศ.1926 หรือ 74 ปีที่แล้ว กระทั่งปี 1996 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือสูงถึง 20 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่า 25 ภาษา ในขณะเดียวกันวอลต์ ดิสนีย์ ซื้อลิขสิทธิ์หมีพูห์และนำไปสร้างการ์ตูนบนแผ่นฟิล์มในปี 1996 พร้อมกับผลิตภัณฑ์มากมายก่ายกอง ทำให้หมีพูห์เป็นตัวการ์ตูนยอดนิยมอันดับ 2 ของเด็กอเมริกันรองจากมิกกี้ เม้าส์ หมีพูห์รู้ดีว่าเขาต้องการอะไรเมื่อ “ ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง” นั่นคือ น้ำผึ้งไง! อืม... แต่จะทำอย่างไรหากเขาพบเพียงโถเปล่าที่มีน้ำผึ้งเหนียว ๆ ติดอยู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น “ งั้นเราก็ต้องช่วยจัดการให้โถเกลี้ยงเร็ว ๆ หน่ะสิ” เจ้าหมีสมองเล็ก (แต่บางครั้งก็ฉลาดล้ำลึก) ตัวนี้อาจพยายามหลอกเจ้าผึ้งขี้สงสัยว่ าตัวเขาคือเมฆฝนสีดำก้อนใหญ่ หรือถ้าคิดอีกที การแวะไปบ้านกระต่ายเพื่อหาขนมหวานทานดูจะเป็นเรื่องง่ายกว่า ( และเจ็บตัวน้อยกว่าด้วย) แต่ไม่ว่าพูห์จะเลือกทำอะไรก็มักจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ เช่น ติดอยู่ในรูกระต่าย แคบ ๆ และไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวออกมาได้ เป็นต้น แต่ก็นั่นแหล่ะ เขามักจะหาทางออกได้เสมอ เพราะแม้สมองของเขาจะเต็มไปด้วยนุ่น แต่เพื่อนรักของคริสโตเฟอร์ โรบิน หรือที่ใคร ๆ เรียกว่าเจ้าหมีแก่จอมงี่เง่าตัวนี้มีจิตใจที่งดงาม ในชีวิตจริง วินนี่ย์เดอะพูห์ ( หรือที่รู้จักกันในชื่อ เอ็ดเวิร์ดแบร์ ในช่วงแรกเมื่อเขาปรากฏตัวใน ‘When We Were Very Young’ คือ ของเล่นสุดรักสุดหวงของคริสโตเฟอร์ มิลล์ ( ลูกชายของเอ. เอ. มิลล์) ซึ่งได้รับเจ้าหมีน้อยตัวนี้เป็นของขวัญครบรอบหนึ่งขวบของเขาใน ปี 1921 ปัจจุบัน วินนี่ย์เดอะพูห์ถูกจัดแสดงให้แฟน ๆ ของการ์ตูนเรื่องดังกล่าวได้ชมกันที่ Children’s Reading Room ใน New York Public Library บนถนน West 53rd Street ผู้ให้เสียงสำหรับตัวการ์ตูนตัวนี้ คือ สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ซึ่งเป็นนักแสดงชื่อดังและนักพากย์ที่สตูดิโอดิสนี่ย์ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องวินนี่ย์เดอะพูห์ ภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องแรกของทางสตูดิโอที่นำวรรณกรรมเยาวชนอันแสนน่ารักของเอ. เอ. มิลล์ ถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม วินนี่ย์เดอะพูห์และผองเพื่อน , คริสโตเฟอร์ โรบิน, เจ้าลาอีออร์, นกฮูก, แคงก้า และเบบี้รู รวมถึงกระต่ายและโกเฟอร์ ต้องเผชิญกับฝูงผึ้งและรังน้ำผึ้ง อันแสนหอมหวาน มีการดัดแปลงเรื่องราวดั้งเดิมของเจ้าหมีเท็ดดี้แบร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกตัวน ี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเพิ่มตัวละครใหม่ นั่นคือ โกเฟอร์ นี่คือภาพยนตร์การ์ตูนพิเศษขนาดสั้นกำกับโดย วูลฟแกงค์ ไรเดอร์แมน ทีมพากย์เสียงโดย สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ ( พูห์) , บรูซ ไรเดอร์แมน (คริสโตเฟอร์ โรบิน), ราล์ฟ ไรต์ (อีออร์), โฮวาร์ด มอร์ริส (โกเฟอร์), บาบาร่า ลัดดี้ (แคงก้า), ฮัล สมิธ (นกฮูก), จูเนียส แมธธิวส์ (กระต่าย) และคลินต์ โฮวาร์ด (รู) ความยาว 26 นาที เซบาสเตียน เคบอตต์ ผู้ดำเนินเรื่อง และเพลงประกอบภาพยนตร์โดย ริชาร์ด เอ็ม. และ โรเบิร์ต บี. เชอร์แมน สเตอร์ลิง ฮอลโลเวย์ได้รับคำชมเชยอย่างมากจากการพากย์เสียงเป็นพูห์และเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้หนัง ประสบความสำเร็จ เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาคต่ออีก 3 ตอน รวมถึงการนำตอนต่อทั้งหมดออกฉายรวมกันด้วย